posttoday

โควิดระลอกสองมาแน่ และจะรุนแรงกว่าระลอกแรก

23 มิถุนายน 2563

ประวัติศาสตร์ชี้ โรคระบาดที่รุนแรง รวมทั้งโรค Covid-19 มีโอกาสสูงที่จะกลับมาระบาดใหม่ และอาจเกิดการระบาดระลอกที่สองหรือสาม โดยระลอกหลังมักจะมีความรุนแรงกว่าระลอกแรก

และที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่า โรคระบาดที่รุนแรงในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ รวมทั้งโรค Covid-19 มีโอกาสสูงที่จะกลับมาระบาดใหม่ และอาจเกิดการระบาดระลอกที่สองหรือสาม โดยระลอกหลังมักจะมีความรุนแรงกว่าระลอกแรก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ไข้หวัดสเปนที่เริ่มระบาดช่วงต้นปี 1918 ระลอกแรกคร่าชีวิตชาวโลกไปราว 2 ล้านคน ซึ่งจากข้อมูลด้านสาธารณสุขที่มีอยู่อย่างจำกัดในขณะนั้นพบว่าอัตราการเสียชีวิตของไข้หวัดสเปนไม่ต่างจากการเสียชีวิตจากไข้หวัดประจำฤดูกาล

แต่การระบาดระลอกที่สองซึ่งเริ่มในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 1918 ทำให้ผู้คนเสียชีวิตถึง 40 ล้านคนในระยะเวลาไม่กี่เดือน โดยตัวจุดชนวนก็คือ การออกเดินเรือของทหารเรือที่ไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อไวรัสจากท่าเรือพลีมัธของอังกฤษไปยังฝรั่งเศส สหรัฐ และแอฟริกาตะวันตก

การระบาดระลอกที่สองนี้ส่งผลให้ไข้หวัดสเปนกลายเป็นโรคระบาดที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

แม้ว่าไข้หวัดสเปนจะไม่เหมือนกับโรค Covid-19 แต่ก็เป็นบทเรียนให้รัฐบาลได้ว่าควรเตรียมพร้อมกับการระบาดระลอกที่สอง มิเช่นนั้นมนุษยชาติจะต้องเจอกับคำว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับ Covid-19 นั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ และขณะนี้เกาหลีใต้ที่เคยได้รับคำชมว่าควบคุมการระบาดได้ดี ก็ยอมรับแล้วว่ากำลังเผชิญกับการระบาดระลอกที่สอง

เกาหลีใต้ผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ในช่วงวันหยุดยาวเมื่อต้นเดือน พ.ค. และเกือบจะกลับไปใช้ชีวิตได้แบบเดิมแล้ว แต่ช่วงปลายเดือนที่แล้วกลับพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นรายวัน วันละ 30-50 ราย โดยเป็นเคสติดเชื้อในประเทศเป็นส่วนใหญ่และมาจากสถานบันเทิงในย่านกรุงโซล

แต่ถึงอย่างนั้นเกาหลีใต้ยืนยันว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันขณะนี้ยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้

เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศในแถบแปซิฟิกตะวันตกซึ่งมีเกาหลีใต้อยู่ด้วยสามารถควบคุมการระบาดได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งที่มีประชากรถึง 1 ใน 4 ของประชากรโลก แต่จนถึงวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา กลับมีผู้ติดเชื้อในภูมิภาคนี้เพียง 2.4% ของตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลก และมีสัดส่วนผู้เสียชีวิตเพียง 1.6%

สำนักข่าว NHK ของญี่ปุ่นสัมภาษณ์ แมทธิว กริฟฟิธ (Matthew Griffith) สมาชิกทีมรับมือ Covid-19 ประจำแปซิฟิกตะวันตกขององค์การอนามัยโลก ว่าเหตุใดแถบเอเชียซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Covid-19 จึงไม่ใช่ประเทศที่มีการระบาดรุนแรงที่สุด

กริฟฟิธเริ่มจับตา Covid-19 ตั้งแต่เริ่มมีการระบาด และเผยว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าทำไมบางประเทศจึงระบาดรุนแรง บางประเทศกลับเอาอยู่ แต่ก็มีบางปัจจัยที่เห็นได้ชัดเจน อาทิ

การติดตามการระบาด กริฟฟิธเผยว่าหลายประเทศในเอเชียรับมือการแพร่ระบาดด้วยการติดตามผู้ติดเชื้อและคนใกล้ชิด ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกต้องโดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการระบาดซึ่งการติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากที่อื่น โดยยกตัวอย่างการจัดการของเวียดนามและญี่ปุ่นที่ติดตามผู้ติดเชื้ออย่างเข้มงวด เพราะยิ่งพบกลุ่มก้อนการระบาดเร็วก็ยิ่งรู้พื้นที่เสี่ยง

การสื่อสารชัดเจน

กริฟฟิธเผยว่าบางประเทศในเอเชียแฟซิฟิก อาทิ ญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ สื่อสารให้ประชาชนตระหนักถึงการแพร่ระบาดได้ชัดเจน

พฤติกรรม วัฒนธรรม และโรคประจำตัว

กริฟฟิธเผยว่าความแตกต่างด้านวัฒนธรรมเป็นปัจจัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการทักทาย หรือการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ “วัฒนธรรมการกอดซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่เชื้อจะแพร่กระจาย เทียบกับวัฒนธรรมที่รักษาระยะห่าง หรือไม่นิยมการสวมกอดกัน ไม่จูบแก้ม ไม่จับมือ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดไปในตัว”

บทเรียนจากอดีต

กริฟฟิธเผยว่า ประเทศที่เคยเผชิญกับโรคระบาดอย่างซาร์ส เมอร์ส ล้วนมีช่องทางการสื่อสารที่แข็งแกร่งระหว่างผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์กับรัฐบาล

ดังนั้นหากมีการระบาดระลอกที่สองในแถบเอเชียแปซิฟิก ประเทศเหล่านี้จะรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ต่างจากผลงานในระลอกแรก

ทว่าที่น่าเป็นห่วงเห็นทีจะเป็นสหรัฐ เนื่องจากการระบาดระลอกที่สองในสหรัฐอาจมาพร้อมกับฤดูไข้หวัดใหญ่ทำให้การรับมือยุ่งยากและซับซ้อนยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะภูมิคุ้มกันของประชาชนอาจลดลงในช่วงดังกล่าว ขณะที่โรงพยายาลก็ต้องแบ่งกำลังบุคลากรทางการแพทย์มารักษาไข้หวัดใหญ่

นอกจากนี้ การรวมกลุ่มของคนจำนวนมากอย่างการประท้วงก็อาจทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในเมืองฟิลาเดลเฟียในปี 1918 หลังจากมีการจัดขบวนพาเหรดขนาดใหญ่เพื่อฉลองการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ไข้หวัดสเปนแพร่ระบาดในวงกว้าง

และขณะนี้การประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้คนผิวสีก็เกิดขึ้นในหลายรัฐของสหรัฐ รวมทั้งฝรั่งเศสที่เพิ่งจัดเทศกาลดนตรี Fête de la Musique เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยไม่มีการสวมหน้ากากอนามัยหรือเว้นระยะห่างทางสังคม

ความกังวลเกี่ยวกับการระบาดระลอกที่สองทำให้นักวิทยาศาสตร์จำลองโมเดลการแพร่ระบาดในหลายสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และพบว่าการแพร่ระบาดระลอกที่สองจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด รวมทั้งการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้งในพื้นที่ที่ยังพบการแพร่ระบาดเร็วเกินไป

ในเมื่อหลีกเลี่ยงการระบาดระลอกที่สองหรืออาจจะเป็นระลอกที่สามไม่ได้ รัฐบาลก็ควรยกระดับระบบสาธารณสุขและการสื่อสารทั้งระหว่างองค์กรต่างๆ ด้วยกันเองและกับประชาชนให้เข้มแข็ง เพื่อปกป้องชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยไม่ต้องใช้มาตรการสุดขั้วอย่างการล็อกดาวน์อีกครั้ง