posttoday

เรือดำน้ำ ฉุด คสช. เสื่อม

26 เมษายน 2560

เรียบร้อยโรงเรียนจีนกับการจัดซื้อเรือดำน้ำ หยวนคลาส เอส 26 ที (Yuan Class S26T) 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาทซึ่งครม. อนุมัติเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

เรียบร้อยโรงเรียนจีนกับการจัดซื้อเรือดำน้ำ หยวนคลาส เอส 26 ที (Yuan Class S26T) 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา

หลังเรื่องแดงขึ้นมา พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ออกมายอมรับว่า ครม.อนุมัติซื้อเรือดำน้ำ แล้วแต่ไม่มีการแถลงข่าวเนื่องจากเป็นวาระจรและไม่ใช่เรื่องใหม่

“ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาปกปิด แต่เพราะเป็นวาระจร อีกทั้งมีหลายเรื่อง ใน ครม.ที่ไม่จำเป็นต้องแถลง เพราะเรือดำน้ำไม่ใช่เรื่องใหม่ เราเคยมีเรือดำมา เมื่อ 60 ปีที่แล้ว ตอนนี้เราก็กลับมามีอีกครั้ง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และยุทธศาสตร์ในการป้องกันประเทศและการทหาร”

สอดรับกับท่าทีของ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า​ ​พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมผู้ที่เกี่ยวข้องจากกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในที่ประชุม ครม.ว่า มีความจำเป็นต้องจัดซื้อ

“ประเทศเราอยู่ติดทะเล วันหน้าไม่มีสิ่งที่แน่นอน เราจึงต้องมีศักยภาพเพื่อป้องกันภัย และการสั่งซื้อไม่ใช่ว่าอนุมัติไปแล้วจะได้ภายใน 3-5 วัน ต้องรอหลายปี การจัดซื้อดังกล่าวเป็นการซื้อลำเดียว อย่างไรก็ตามที่โฆษกไม่ได้แถลงข่าว เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเอกสารลับที่สุดหรือมุมแดง และเป็นโหมดงานด้านความมั่นคง จึงไม่จำเป็นต้องแถลงข่าว” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

ชัดเจนที่สุดคือท่าทีจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ที่ออกมา การันตีความโปร่งใสในการจัดซื้อ ซึ่งทำตามขั้นตอนทุกอย่าง และที่ซื้อก็ไม่ถือว่าเป็นราคาที่แพง มีประโยชน์มากในฝั่งทะเลอันดามัน ที่เราจะใช้ในระยะ 200 ไมล์ทะเลที่เราไม่เคยเข้าไป

“เอกสารนี้เป็นเอกสารลับ เขาไม่เปิดเผยกัน ทุกเรื่องที่เป็นเอกสารลับ ไม่ว่าจะเป็น ครม.ไหนก็เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นเอกสารทางด้านยุทธศาสตร์ เรื่องยุทธวิธีเป็นเอกสารลับทั้งหมดอยู่แล้ว ทุกกระทรวง ทบวง กรม มีเอกสารลับทั้งหมด”

ประเด็นที่ฉุดให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล คสช.และกองทัพ ลดน้อยถอยลงไปคือเรื่องงุบงิบแอบอนุมัติโดยไม่ออกมาแถลงให้สาธารณะรับรู้รับทราบ ทั้งที่รู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่หลายฝ่ายกำลังจับตา

ที่สำคัญยังเป็นประเด็นที่เต็มไปด้วยความเห็นแตกต่างทั้งฝ่ายที่ “เห็นด้วย” และ “ไม่เห็นด้วย”

ยิ่งหากพิจารณาจากเสียงสะท้อนที่ออกมาส่วนใหญ่ดูจะไม่เห็นด้วยกับการใช้จ่ายงบประมาณก้อนใหญ่ไปกับการจัดซื้อยุทธภัณฑ์ที่ยังไม่มีความจำเป็นในเวลานี้ และสถานการณ์ปัจจุบันมีหลายเรื่องที่ควรนำเงินภาษีประชาชนไปใช้สร้างประโยชน์กับประเทศและประชาชนมากกว่า

ก่อนหน้านี้ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ เคยออกมาคัดค้านการจัดซื้อเรือดำน้ำของรัฐบาลที่อ้างความมั่นคงมาสนับสนุนความจำเป็นในการจัดซื้อ เพราะ​เกณฑ์ในการพิจารณาจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์คือเรื่อง “ภัยคุกคาม” และ “ความคุ้มค่า”​ ในการใช้งาน ไม่ใช่พิจารณาจากอาวุธที่เพื่อนบ้านมี

“เป็นตรรกะที่มั่วมาก เพื่อนบ้านมีเรือดำน้ำแล้วเราต้องมี ในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นั้นหลักการทางทหารจะพิจารณาเรื่องภัยคุกคามเป็นอันดับแรก คือดูว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้เพื่อนบ้านมารุกรานเรา ณ ตอนนี้ตอบได้เลยว่าไม่มี และต่อให้ประเทศเพื่อนบ้านมีเรือดำน้ำสัก 100 ลำ ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะหลักการของเรือดำน้ำคือการปฏิบัติการใต้ผิวน้ำ แต่อ่าวไทยมันตื้น”

ดังนั้นเรื่อง “ความมั่นคง” ที่หยิบยกมาเป็นเหตุผลในการจัดซื้อก็ยังไร้น้ำหนักเกินไป และยังซ้ำเติมด้วยประเด็นเรื่องความคุ้มค่า ดังจะเห็นว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งหลายต่อหลายชุดล้วนแต่แช่แข็งการจัดซื้อเรือดำน้ำที่ทางกองทัพเสนอมาอย่างต่อเนื่อง

การที่รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารตัดสินใจอนุมัติการจัดซื้อเรือดำน้ำจึงสั่นคลอนความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง

ยิ่งสภาพเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ ​ควรใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดไปกับเรื่องที่จะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติ และคนจำนวนมาก​ สวนทางก่อนหน้านี้หลายโครงการที่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ รัฐบาลกลับอ้างว่าไม่มีงบประมาณ เช่น เรื่องเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ออกมาเคลื่อนไหวหลายรอบ

ยังไม่รวมกับโครงการขนาดใหญ่ทั้งรถไฟรางคู่ รถไฟเร็วสูง หรือระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ ที่มีความจำเป็นในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

แต่การเลือกมุบมิบแอบนำเรื่องเข้า ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติ ทั้งที่ยังมีเสียงคัดค้านถึงความไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวางจึงยิ่งทำให้เกิดความสงสัยถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังการรีบปิดดีลเรือดำน้ำอย่างรวดเร็ว

นี่อาจยิ่งตอกย้ำปัญหาเรื่องความโปร่งใสที่นับวันมีแต่จะฉุดให้ คสช. ​เสื่อมหนักมากขึ้น

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา