posttoday

"พลุไฟในสนาม" เมื่อแฟนบอลบางกลุ่มเปลี่ยนเสียงเชียร์เป็นผลเสียให้ทีมเจ้าบ้าน

19 ธันวาคม 2559

พฤติกรรมกองเชียร์ฟุตบอลบางกลุ่มกำลังถูกสังคมประนาม ภายหลังสร้างความเสียหายให้กับวงการลูกหนังไทย

โดย..วรรณโชค ไชยสะอาด

พฤติกรรมของกองเชียร์บางกลุ่มที่จุดพลุแฟลร์ หรือ พลุไฟ ในเกมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ระหว่างทีมชาติไทย และ ทีมชาติอินโดนีเซีย ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วสังคม รวมทั้งยังส่งผลให้ทีมชาติไทยเสี่ยงต่อการถูกลงโทษจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ เอเอฟซี ด้วย

สมาคมฟุตบอลเตรียมโดนปรับแน่ๆ 7 แสนบาท

มาตรการทางกฎหมายในการป้องกันความรุนแรงระหว่างผู้ชมกีฬาฟุตบอลในระบบสากลของฟีฟ่า ระบุชัดเจนว่า "ห้ามนำพลุไฟเข้าไปภายในสนามฟุตบอล" เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ และโฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า สมาคมฯ คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงโทษปรับจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และเอเอฟซีได้ โดยคาดว่าไม่ต่ำกว่า 20,000 สวิตฟรัง หรือ ประมาณ 700,000 บาท ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการด้านวินัยของเอเอฟซี

"กรณีล่าสุด บทลงโทษขึ้นอยู่กับความเสียหายที่เกิดขึ้น การตอบสนองและจัดการสถานการณ์ของประเทศเจ้าภาพ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้รบกวนหรือว่าสร้างความเสียหายให้กับเกมการแข่งขัน ทำให้บทลงโทษไม่น่าจะออกมารุนแรง ไม่ถึงขั้นห้ามแฟนบอลเข้าชมการแข่งขันในสนามหรือไปเล่นที่สนามกลาง แต่หนีไม่พ้นถูกปรับแน่นอน โดยคาดว่าไม่ต่ำกว่า 20,000 สวิตฟรัง หรือ ประมาณ 700,000 บาท"

ขณะที่ความผิดของแฟนบอล สมาคมฯ อยู่ระหว่างพิจารณา โดยมีโทษตั้งแต่ การปรับเงินไปจนถึงการแบนห้ามเข้าสนาม ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการอีกครั้งหลังจากคลี่คลายในประเด็นข้อกฎหมายทั่วไปเสียก่อน โดย พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่า จะดำเนินการกับกลุ่มผู้ก่อเหตุที่อยู่ในกลุ่มกองเชียร์ดังกล่าว และอาจเอาผิดถึงแกนนำของกลุ่มด้วย เนื่องจากทำให้ภาพลักษณ์ของวงการฟุตบอลและประเทศชาติเสื่อมเสีย

สำหรับการจุดพลุในสนามฟุตบอล เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายเรื่อง พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ. 2490

โดย มาตรา 47 ห้ามมิให้ผู้ใดสั่ง นำเข้า หรือค้า ซึ่งดอกไม้เพลิง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ฐานความผิด การไม่ได้รับอนุญาตตาม ม.47 เป็นความผิดมาตรา 77 ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พงส.เปรียบเทียบปรับได้

ส่วนกรณีฐานความผิดอื่นๆ ได้แก่ การเล่นดอกไม้เพลิง พลุ หรือประทัด ในที่สาธารณะหรือในงานรื่นเริง อาจมีความผิดฐาน “ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน” ตาม ป.อาญา มาตรา 370 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท

- กรณีการเล่นประทัดหรือจุดพลุ โดยโยนใส่หรือจุดใส่บุคคลอื่น โดยเจตนา หากบุคคลดังกล่าวได้รับบาดเจ็บหรือบาดเจ็บสาหัส ผู้นั้นมีความผิดฐาน “ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หรือได้รับอันตรายสาหัส” ตาม ป.อาญา มาตรา 295 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือ 297 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี

- กรณีการเล่นประทัดหรือจุดพลุ โดยโยนเล่นหรือจุดเล่น แต่ไปถูกคนอื่นได้รับบาดเจ็บหรือบาดเจ็บสาหัส โดยไม่ได้ตั้งใจ ผู้นั้นมีความผิดฐาน “กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หรือได้รับอันตราสาหัส” ตาม ป.อาญา มาตรา 300(สาหัส) หรือ 390 แล้วแต่กรณี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

"พลุไฟในสนาม" เมื่อแฟนบอลบางกลุ่มเปลี่ยนเสียงเชียร์เป็นผลเสียให้ทีมเจ้าบ้าน กลุ่ม ULTRAS ในเมืองนอก ภาพจาก http://ultras-europe.com/en/content/8-photos

อันตรายต่อชีวิตคนรอบข้าง

พลุไฟคือ พลุสัญญาณขอความช่วยเหลือ Red Hand Flare หรือที่เรียกว่า พลุสัญญาณส่องสว่างสีแดง เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตในยามฉุกเฉิน ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ท่ามกลางผู้คนหมู่มากอย่างสนามฟุตบอล

รศ.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์สาขาเคมีอินทรีย์และนิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า พลุไฟ มีส่วนประกอบเป็นสารเคมีในกลุ่ม Strontium  ปัจจุบันองค์กรฟุตบอลทั่วโลก ห้ามจุดพลุบนอัฒจรรย์  เพราะกลัวอันตราย จากเหตุเพลิงไหม้ ผลกระทบทางด้านร่างกายและสุขภาพของคนรอบข้าง

“การจุดในที่ๆ มีคนหมู่มาก ปัญหาเเรก คือ ความร้อนของมันเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ เวลาเผาไหม้จะเกิดควัน ผง และกลิ่น ซึ่งเป็นสารพวกไฮโดรคาร์บอน คนที่แพ้จะเกิดการละคายเคืองต่อผิวหนัง ดวงตา หลายคนอาจเกิดการละคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ และสำลักควันได้ เพราะงั้นไม่เหมาะสมในการจุดท่ามกลางฝูงชน” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเคมีกล่าว

"พลุไฟในสนาม" เมื่อแฟนบอลบางกลุ่มเปลี่ยนเสียงเชียร์เป็นผลเสียให้ทีมเจ้าบ้าน พลุเเฟลร์ ในเกม กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ภาพจาก http://www.internazionale.fr/

เลียนแบบต่างชาติแบบสุดโต่ง กลายเป็นพวกไม่มีเหตุผลที่สร้างผลเสีย

พฤติกรรมที่กลุ่ม ULTRAS THAILAND แสดงออกไม่ใช่ครั้งแรก หากยังจำกันได้ เมื่อปี พ.ศ. 2557 เคยแสดงพฤติกรรมลักษณะนี้มาแล้วในการแข่งขัน "เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014" นัดที่ทีมชาติไทยถล่มทีมชาติฟิลิปปินส์ 3-0 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

ตัวแทน Ultras กลุ่มหนึ่งจากภาคอีสาน เล่าว่า กลุ่ม ULTRAS THAILAND ลอกเลียนแบบวัฒนธรรมการเชียร์มาจากต่างประเทศ เป็นกลุ่มที่มีอารมณ์ร่วมสูงในการเชียร์ ผ่านความอึดอัด กดดัน มาหลายด้านทั้งจากการทะเลาะวิวาท การต่อสู้ทางด้านสังคม วัฒนธรรม ทุนนิยม ตลอดจนการเมืองภายในประเทศของตน ก่อนปรากฎภาพการเชียร์ในลักษณะดังกล่าว

“สมัยก่อนฟุตบอลเมืองนอกเวลาเป็นทีมเยือนค่อนข้างเสี่ยงต่อความรุนแรง กลุ่มนี้เขารวมตัวกันเพื่อไม่ให้โดนทำร้าย เดินเข้าสนามเป็นกลุ่มๆ บ้านเราเอามาทำบ้างทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีใครมาตีเราหรอก เลียนแบบมา พยายามอยากเป็นแบบนั้น

“ที่สำคัญเมืองนอกเขาผ่านความอึดอัด ความขัดแย้งอะไรมามาก แต่บ้านเราไม่ขนาดนั้น รับเอาวัฒนธรรมเขามาและปรับใช้มันอย่างรวดเร็ว มีความคิดสุดโต่งเกินเหตุจนกลายเป็นพวกไม่มีเหตุผล ไปอ้างว่าต่อสู้เพื่อชาติ ทั้งที่เหตุการณ์ในบ้านเมืองไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่แสดงออก แทนที่การเชียร์จะกลายเป็นนรกของทีมเยือนกลับกลายเป็นสร้างปัญหาให้กับพวกเดียวกันเอง”

เขา บอกต่อว่า กลุ่ม ULTRAS มีการแสดงออกที่หลากหลาย ที่เห็นได้ชัดอย่างการแต่งกายด้วยชุดดำ ไม่สวมเสื้อสโมสรหรือเสื้อทีมชาติที่ตัวเองเชียร์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน ขอแค่เชียร์และสนับสนุนทีมก็พอโดยมี คอนเซปต์ว่า No Face, No Name! ส่วนการจุดพลุไฟ มองแง่หนึ่งเหมือนการเฉลิมฉลอง ขณะที่อีกด้านเหมือนเป็นการประท้วง นอกจากนั้นทางกลุ่มยังยึดติดกับคำว่า AGAINST MODERN  FOOTBALL หรือการต่อต้านฟุตบอลสมัยใหม่ โดยประท้วงธุรกิจในโลกฟุตบอล หรือแม้กระทั่ง Regulation are killing us  ซึ่งแปลว่ากฎระเบียบจะฆ่าเรา

“ก่อนหน้านี้ ULTRAS THAILAND เคยหยุดจุดพลุไฟไปแล้วหลังจากโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่รอบนี้ผมคิดว่าเขาคงนึกไม่พอใจอะไรสักอย่าง อาจมาจากกระแสเรื่องการเผาธงชาติพม่าและการแสดงออกของกลุ่มก่อนหน้านี้ ซึ่งถูกด่าเละเทะจากสังคม พวกเขาคงคุยกันมาแล้วว่าจะตอบโต้ด้วยการจุดพลุไฟ ตั้งใจทำ เพราะรู้ตัวอยู่ว่าทำไปก็โดนด่าแน่นอน” 

อย่างไรก็ตามหากไม่นับเรื่องการจุดพลุไฟ แฟนบอลจากภาคอีสานรายนี้ บอกว่า กลุ่ม ULTRAS THAILAND  นั้นมีแง่มุมดีๆ อยู่เช่นกัน เนื่องจากเป็นกลุ่มกองเชียร์ที่คอยสนับสนุนนักกีฬาทีมชาติไทยหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น ฟุตซอลคนหูหนวก ตะกร้อ วอลเลย์บอล หรือกีฬาชนิดอื่นๆ ที่มักไม่ค่อยมีคนสนใจ

สังคมส่วนใหญ่กำลังไม่ยอมรับพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อส่วนรวม อย่าง การจุดพลุไฟขณะที่พฤติกรรมอื่นซึ่งเป็นการแสดงออกลักษณะเฉพาะกลุ่ม หากไม่ได้ส่งผลเสียต่อส่วนรวมหรือละเมิดกฎหมายเสียแล้ว ก็คงไม่มีใครต่อว่า

"พลุไฟในสนาม" เมื่อแฟนบอลบางกลุ่มเปลี่ยนเสียงเชียร์เป็นผลเสียให้ทีมเจ้าบ้าน ภาพจาก http://www.dw.com/en/crusaders-in-the-crowd-fighting-polands-right-wing-football-ultras/a-19330835

 

"พลุไฟในสนาม" เมื่อแฟนบอลบางกลุ่มเปลี่ยนเสียงเชียร์เป็นผลเสียให้ทีมเจ้าบ้าน ภาพจาก https://lookatthesescenes.com/2015/09/27/a-matter-of-life-death/

ภาพเหตุการณ์ในสนามราชมังคลากีฬาสถานจาก เฟซบุ๊กเพจ Fair

ข่าวล่าสุด

SME D Bank จัด 'Culture Day' ขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร "ประสานพลัง-พัฒนาเรียนรู้" สู่การเติบโต