posttoday

ตลาดเงินเอเชียปั่นป่วน แบงก์ชาติจับตาหวั่นเงินไหลออก

25 พฤศจิกายน 2559

ค่าเงินเอเชียหลายสกุลร่วงต่ำสุดในรอบ 7 ปี หลังเฟด ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. ด้านหลายแบงก์ชาติเอเชียจับตาตลาดเงิน หวั่นเงินไหลออกมากยิ่งขึ้น

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ค่าเงินเอเชียหลายสกุลร่วงต่ำสุดในรอบ 7 ปี หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.ในแถลงการณ์ ผลประชุมเดือนก่อนหน้านี้ ด้านหลายแบงก์ชาติเอเชียจับตาตลาดเงิน หวั่นเงินไหลออกมากยิ่งขึ้น

บลูมเบิร์ก รายงานว่า สกุลเงินต่างๆ ของกลุ่มประเทศเอเชียร่วงต่ำสุดในรอบ 7 ปี ระหว่างการซื้อขายในวันที่ 24 พ.ย. หลังจากที่ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันที่ 1-2 พ.ย. ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ โดยบางรายระบุว่าเฟดควรดำเนินการดังกล่าวในการประชุมเดือน ธ.ค. เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งการส่งสัญญาณดังกล่าวของเฟดทำให้ธนาคารกลางต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย อาจชะลอการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ด้วยความวิตกว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่ปรับตัวขึ้น จะกระตุ้นให้เงินไหลออกจากภูมิภาคมากยิ่งขึ้น

รายงานระบุว่า ดัชนีค่าเงินเอเชียเทียบค่าเงินเหรียญสหรัฐ ที่จัดทำโดยบลูมเบิร์กและธนาคารเจพี มอร์แกน ร่วงแตะ 103.32 จุด ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2009 โดยค่าเงินเปโซของฟิลิปปินส์ ปรับลงแตะ 50 เปโซ/เหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกเมื่อปี 2008

ในวันเดียวกัน ค่าเงินหยวนออฟชอร์ของจีน อ่อนค่าลง 0.5% แตะ 6.9530 หยวน/เหรียญสหรัฐ ร่วงหนักทุบสถิติในรอบ 8 ปีครั้งใหม่ เช่นเดียวกับค่าเงินรูปี อินเดียที่ปรับลงแตะ 68.8650 รูปี/เหรียญสหรัฐ ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านค่าเงินวอน เกาหลีใต้ ค่าเงินริงกิต มาเลเซีย และค่าเงินรูเปียห์ อินโดนีเซีย ปรับตัวลงกว่า 0.3% ระหว่างการซื้อขายในวันดังกล่าว โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ค่าเงิน ริงกิตมีแนวโน้มปรับลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1998 ภายในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ ในช่วงเดือน พ.ย.ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงไปแล้ว 2.9% ขณะที่ค่าเงิน ริงกิตร่วงหนักสุดในบรรดาสกุลเงินเอเชียที่ 5.9% ด้านค่าเงินรูเปียห์ และค่าเงินหยวน ร่วงลงมาแล้ว 3.8% และ 2.1% ตามลำดับ

โทรุ นิชิฮามะ นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ จากสถาบันวิจัยไดอิจิ รีเสิร์ช อินสติติวท์ ในญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ค่าเงินที่ปรับตัวลงทำให้การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางกลุ่มประเทศเอเชียกลายเป็นเรื่องยากขึ้น เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อ และอาจกระตุ้นให้เงินไหลออกจากภูมิภาคมากขึ้น โดยธนาคารกลางส่วนใหญ่ในเอเชียคาดว่าจะคงนโยบายการเงินไว้ตามเดิมไปอีกระยะหนึ่ง

แบงก์ชาติเอเชียสกัดเงินอ่อน

รอยเตอร์ส รายงานอ้างเทรดเดอร์ว่า ค่าเงินรูปีที่ปรับลงอย่างหนัก ส่งผลให้ธนาคารกลางอินเดีย (อาร์บีไอ) ดำเนินการแทรกแซงด้วยการอัดฉีดเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.7 หมื่นล้านบาท) เข้าไปในตลาดเงินเพื่อสกัดการอ่อนค่า แต่ก็ไม่ได้ผลมากนักเพราะเงินรูปีปรับขึ้นมาเพียงเล็กน้อยอยู่ที่ 68.82 รูปี/เหรียญสหรัฐ ระหว่างการซื้อขายช่วงบ่าย โดยอาร์บีไอ เปิดเผยว่า การแทรกแซงดังกล่าวเป็นเพียงการควบคุมความผันผวนในตลาดเงินชั่วคราว และจะหามาตรการที่เหมาะสมจัดการกับการอ่อนค่าดังกล่าวต่อไป แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจน ขณะที่รอยเตอร์สรายงานว่า ธนาคารรัฐวิสาหกิจหลายแห่งในประเทศได้เทขายเงินเหรียญสหรัฐเพื่อพยุงค่าเงิน

ขณะเดียวกัน ธนาคารรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง เทขายค่าเงินเหรียญสหรัฐขณะที่ค่าเงินหยวนออฟชอร์ปรับตัวลงไปทะลุระดับ 6.9 หยวน/เหรียญสหรัฐ เพื่อไม่ให้เงินหยวนปรับตัวลงเร็วเกินไป โดยบลูมเบิร์กรายงานอ้างเทรดเดอร์รายหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ว่า เงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนไปแตะระดับ 7 หยวน/เหรียญสหรัฐ ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2016 ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงไปแล้วกว่า 6% เมื่อเทียบค่าเงินเหรียญสหรัฐ

ด้านธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ยังคงปรับลดค่ากลางเงินหยวนลงมาอีกอยู่ที่ 6.9085 หยวน/เหรียญสหรัฐ จากระดับ 6.8904 หยวน/เหรียญสหรัฐ ในการซื้อขายก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ รอยเตอร์สรายงานอ้างเทรดเดอร์ว่า ค่าเงินเอเชียที่ปรับลงอย่างหนักเมื่อเทียบค่าเงินเหรียญสหรัฐ อาจทำให้อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีการแทรกแซงเพื่อพยุงค่าเงินเช่นกันในวันที่ 24 พ.ย.เพื่อสกัดไม่ให้ค่าเงินอ่อนค่าลงไปมากกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 3% เมื่อ วันที่ 23 พ.ย. และส่งสัญญาณว่าจะใช้นโยบายปกป้องค่าเงินริงกิต มากกว่าการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงยอมรับว่าได้เข้ามาแทรกแซงค่าเงินในช่วงก่อนหน้านี้ ด้านธนาคารกลางอินโดนีเซียเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่มีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และได้เทขายเงินเหรียญสหรัฐเพื่อพยุงค่าเงินไปในช่วงเดือนนี้

จีนยันลุยข้อตกลงการค้า

แม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศให้คำมั่นถอนตัวออกจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก  (ทีพีพี) ไปแล้ว แต่กระทรวงพาณิชย์จีนยืนยันว่าจีนจะผลักดันความตกลง หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค  (อาร์เซ็ป) ต่อไป ไม่ว่าทิศทางข้อตกลงทีพีพีจะมีความชัดเจนหรือไม่ก็ตาม

เฉิน ตันหยาง โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จีนตั้งเป้าเดินหน้าเจรจาอาร์เซ็ปกับกลุ่มประเทศอาเซียนให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อสร้างเขตการค้าเสรีที่ครอบคลุมและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เปิดเผยในการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะดำเนินการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน จาง เซียงเฉิน ผู้แทนการค้าจากจีน เปิดเผยว่า จีนจะยื่นเรื่องปกป้องสิทธิทางการค้าของจีนต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิ้ลยูทีโอ) หากทรัมป์เดินหน้าตั้งภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 45% เพื่อกีดกันสินค้าราคาถูกจากจีน ตามที่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมบอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ผลบอลสด วันอังคารที่ 23 ธ.ค. 68