posttoday

ตายดีกว่าอยู่

31 มกราคม 2558

ถ้าผมตาบอดตั้งแต่กำเนิด ผมก็คงจะชินกับความพิการของร่างกาย ไม่มีอะไรต้องปรับตัวปรับใจ

ถ้าผมตาบอดตั้งแต่กำเนิด ผมก็คงจะชินกับความพิการของร่างกาย ไม่มีอะไรต้องปรับตัวปรับใจ แต่การที่ผมเคยมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เคยเล่นซน เคยช่วยพ่อแม่ทำนา เคยไปขายเต้าหู้และทำทุกอย่างด้วยตัวเอง โลกที่เคยสว่างสดใส แต่จู่ๆ มืดมิดลง

ผมมองไม่เห็น ทำอะไรได้ไม่เหมือนก่อน ต้องให้คนอื่นช่วยเหลือ เป็นเรื่องที่ยากจะทำใจ ผมเสียใจมาก ร้องไห้อย่างหนัก ทุกวัน ท้อแท้ และสิ้นหวังกับชะตาชีวิตที่ต้องกลายเป็น “ไอ้บอด” พิการและเป็นภาระให้พ่อแม่และคนในครอบครัวดูแล

เคยคิดฝันว่าชีวิตนี้ต้องได้ดี จะทำมาหากิน หาเงินเลี้ยงพ่อแม่ให้ท่านได้พ้นความอดอยากยากจน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเห็นแต่ท่านเป็นทุกข์กับการหาอาหารเลี้ยงลูกๆ แม้วันที่ท่านไม่สบาย เห็นแล้วสงสารท่านเหลือเกิน

ท่านไม่มีโอกาสได้หยุดพักผ่อน ต้องออกไปตรากตรำทำงาน ถึงแดดจะร้อนเปรี้ยงเหมือนหัวจะแตก หรือฝนฟ้าจะกระหน่ำลงมาอย่างไร ท่านก็ต้องอดทนทำนาเพื่อให้พวกเรามีข้าวกิน

เมื่อครั้งที่ผมยังตาดี ผมเคยเห็นแม่ป่วยเป็นไข้ นอนซมลุกไม่ไหว พ่อช่วยดูแลหายาสมุนไพรมาต้มให้แม่กิน ท่านเอาใจใส่ดูแลกันด้วยความรักอย่างแท้จริง เมื่อแม่ดีขึ้นพอลุกไหวท่านก็ออกไปช่วยพ่อทำนาเคียงข้างกัน

ผมเองต้องการแบ่งเบาภาระให้พ่อแม่เบาแรงลง แต่ผมต้องมาตาบอด ความตั้งใจจะช่วยทำงานให้ท่านสบายขึ้นเพื่อทดแทนพระคุณต้องสูญสิ้นไป

คนตาบอดอย่างผมจะช่วยอะไรท่านได้ มีแต่ทำให้ท่านมีภาระหนักขึ้นไปอีก คิดแล้วผมก็ยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมจึงมีเวรมีกรรมขนาดนี้ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ชาติที่แล้วผมก่อกรรมอะไรไว้

ทุกวันช่วงเช้ามืด แม่ต้องรีบลุกขึ้น มาทำกับข้าว หาอาหารเช้าไว้ให้ผม แล้วค่อยออกไปทำงานตามหน้าที่ ผมรู้ว่านอกจากออกไปช่วยพ่อทำนาแล้ว แม่ยังไปตระเวนหาคนที่รู้วิธีรักษาดวงตาให้ผมอีกด้วย

ระหว่างนั้นผมต้องอยู่ลำพังคนเดียวในบ้าน พอหิวผมก็ลุกขึ้นใช้มือคลำข้างฝาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอาหารที่แม่วางไว้ให้

ผมกินอาหารด้วยความหิวโดยไม่รู้สึกถึงรสชาติหรือความอร่อยเลย คงเพราะสลดหดหู่และท้อแท้ต่อชีวิต บ่อยครั้งที่ผมกินข้าวไปร้องไห้ไป ด้วยความน้อยใจในโชคชะตา เกิดมาอวัยวะครบสามสิบสองแท้ๆ แต่เพียงแค่ 13 ปีเท่านั้นที่ผมได้ใช้ชีวิตปกติเช่นเด็กคนอื่นๆ กลับต้องกลายเป็นคนพิการตาบอด

ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง น้ำตายิ่งไหลพรั่งพรู มันไหลลงไปในชามข้าวนั่นแหละ แล้วผมก็ตักขึ้นมากินพร้อมๆ กับข้าว เรียกว่ากินข้าวเคล้าน้ำตาก็คงไม่ผิด

ผมต้องกลายเป็นคนไร้ค่า เป็นภาระให้กับผู้อื่น ไม่มีความหวังใดๆ จะก้าวเดิน... อนาคตของผมมืดมนเช่นเดียวกับดวงตา ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ผมมองไม่เห็นอนาคตถึงอย่างไรพ่อแม่ก็ไม่เคยหยุดคิดหาทางช่วยให้ผมมองเห็น ต่างเพียรตระเวนไปตามศาลเจ้าต่างๆ ในละแวกบ้านเพื่ออธิษฐานขอให้ตาของผมดีขึ้นพอมองเห็นได้บ้าง นอกจากนั้นท่านยังฝากฝังให้พี่ๆ และคนอื่นๆ รู้จักช่วยกันแยกย้ายไปอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลให้ตาผมกลับมามองเห็นได้ดังเดิม

แรกๆ ผมยังพอมีความหวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้ผมหาย เพราะผมเห็นใครต่อใครในหมู่บ้านต่างพากันไปขอพร จึงเชื่อมั่นว่าท่านต้องช่วยผมได้ ขณะเดียวกันวิธีการรักษาตามคำโบราณผมก็ยังไม่ทิ้ง ทุกคนต่างดิ้นรนสืบเสาะหาทางรักษาดวงตาให้ผม

แต่หลังจาก 3 ปีผ่านไป ผมอายุได้ 15 ปี 10 เดือน... ดวงตาของผมยังคงมืดบอด ผมรู้สึกหมดหวัง หมดพลังใจและเครียดมากขึ้นทุกวัน ไม่อยากให้แม่ต้องลำบากคอยเป็นธุระเรื่องรักษาตาให้ผมอีก ไม่ว่าจะเที่ยวไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือตระเวนถามหาคนที่รู้วิธีรักษาตา ผมจึงบอกกับแม่ว่า “แม่ครับ...แม่อย่าลำบากอีกเลย ผมคงไม่หาย ไม่มีโอกาสมองเห็นอีกแล้ว”

“อย่าพูดยังงั้น ลูกจะต้องหาย ถึงยังไงแม่ก็จะพยายามหาทางช่วยลูกให้ได้ แม่ไม่ยอมแพ้แล้วลูกก็อย่ายอมแพ้ด้วย” แม่บอกผมและยืนยันว่าจะไม่ยอมแพ้ ยังวิ่งวุ่นหาทางรักษาดวงตาผมให้หาย แต่สำหรับผม เวลาที่ผ่านมาไม่มีอะไรดีขึ้น จากคนที่เคยเห็นโลกสว่างตั้งแต่เกิด ผมต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกมืดมา 3 ปีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่แสนยาวนาน นั่นทำให้ผมเลิกคิด เลิกหวังว่าจะหาย ผมรู้สึกเบื่อโลกและเบื่อชีวิตอย่างที่สุด

วันหนึ่ง เมื่อทุกคนออกไปจากบ้านหมดแล้ว มีเพียงผมที่ไปไหนไม่ได้ ต้องนั่งเฝ้าบ้านอยู่ในความมืด ผมยิ่งคิดมาก สับสน ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่ ร่างกายผมโตขึ้น กำยำขึ้นเพราะเริ่มเป็นหนุ่ม หากแต่ดวงตากลับมองไม่เห็น แทนที่จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่ กลับกลายเป็นคนที่พ่อแม่พี่น้องต้องมาให้การช่วยเหลือแทน

ยิ่งแม่รักผมมาก ผมยิ่งเป็นทุกข์มาก เพราะแม่ต้องมาลำบากดูแลผม คอยจัดหาอาหารการกินให้ผมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมรู้สึกว่าไม่อาจทนอยู่กับสภาพแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

ผมมองไม่เห็นทางออกไหนที่ดีกว่า “ความตาย” คิดเพียงว่าถ้าผมตายไป พ่อกับแม่จะไม่ต้องเหนื่อย ไม่ลำบากเพราะผมอีก ผมรู้สึกผิดและเป็นทุกข์มากที่ทำให้พ่อแม่และพี่ๆ ทุกคนต้องเหนื่อยและทุกข์ใจ

 (อ่านต่อฉบับวันเสาร์หน้า)

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก