พระเขมาเถรี
เคยสังเกตไหมครับ ว่าคนที่บวชในพระพุทธศาสนาในสมัยนี้
โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม
เคยสังเกตไหมครับ ว่าคนที่บวชในพระพุทธศาสนาในสมัยนี้กับสมัยพระพุทธเจ้า หรือหลังพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไม่นาน มีความต่างอย่างหนึ่งให้เห็น
ความต่างนั้นก็คือ ในสมัยพุทธกาลมีบุคคลที่เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองสละสมบัติออกบวชกันเยอะแยะ บางคนเป็นถึงราชา สละราชสมบัติออกผนวช บางคนเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีมอบทรัพย์มรดกให้ลูกหลานบริหารจัดการใช้สอยแล้วเข้าวัดบวชไม่สึก
จาก “เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน” กลายมาเป็น “สามัญชน” โดยเข้าสู่การเป็นพระที่มีความ “เสมอภาค” และ “เท่าเทียม” กับทุกคนในสังคมสงฆ์ จากเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาลอยู่จนตายก็ใช้ไม่หมด แต่กล้าทิ้งสมบัติมากมายให้คนอื่นใช้สอยอย่างสบายแล้วตัวเองมาอยู่อย่างสมถะในชีวิตของนักบวช
สมัยนี้คนที่เข้ามาบวชส่วนใหญ่หาแบบนี้ไม่มี ส่วนใหญ่เป็นลูกคนยากคนจนอยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสียให้เล่าเรียนก็ให้บวชเรียน บางคนอยากบวชหรือบวชด้วยศรัทธา ทว่าสิ่งที่ี่เห็นคือ เราได้เห็น “คนธรรมดา” ที่ไม่ได้เป็นเจ้าแต่กลายมาเป็น “เจ้า” ได้ คือ ได้เป็น สังฆราช นั่นเอง
นอกจากนี้พระสงฆ์อื่นๆ ก็มีสมณศักดิ์ที่ได้รับการพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ จากการประทานจากพระสังฆราช และจากการมอบให้จากพระที่มีสมณศักดิ์สูงกว่า ซึ่งต่างจากสมัยพระพุทธเจ้าที่ไม่มีสมณศักดิ์ ทางราชสำนักก็ไม่ได้ถวาย
ถ้ารูปไหนเป็นเลิศทางด้านไหน พระพุทธเจ้าก็ทรงยกย่องในด้านนั้นเป็นเกียรติเป็นศรี บางรูปก็มีตำแหน่งโดยการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้า เช่น ตำแหน่งอัครสาวก ตำแหน่งพุทธอุปัฏฐาก เป็นต้น นี่คือปรากฏที่กลับกัน
ที่ยกเรื่องนี้มาเล่าก็เพื่อจะเล่าถึงภิกษุณีรูปหนึ่ง คือ “พระเขมาเถรี” ที่เป็นถึง “เจ้า” ซึ่งใครในโลกก็ล้วนอยากเป็น แต่พระนางก็สละความเป็นใหญ่และความสุขทางโลกออกบวช
แม้ในเบื้องต้นจะไม่สนพระทัยทางด้านศาสนา สนพระทัยแต่พระสิริโฉมขององค์ แต่เมื่อได้สดับพระเทศนาจากพระพุทธเจ้าก็ทรงเกิดอยากออกผนวชทันที
พระเขมาเถรี เดิมมีพระนามว่า “เขมา” เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสาคลราช ผู้ครองสาคลนคร ในแคว้นมัททรัฐ ทรงพระสิริโฉมงดงาม มีพระฉวีพรรณดังทอง เลื่อมดังแววนกยูง
ต่อมาได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร และทรงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแห่งแผ่นดินมคธมาก แต่ในคราวที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาและได้เสด็จมายังแคว้นมคธแสดงธรรม โปรดพระเจ้าพิมพิสารจนสำเร็จโสดาบัน พระนางก็มิได้สนพระทัยในการศาสนา ไม่สนพระทัยข่าวพระพุทธเจ้าเสด็จมาวัดเวฬุวัน แต่ทรงสนพระทัยเฉพาะพระสิริโฉมของพระองค์เท่านั้น
จนพระเจ้าพิมพิสารมีพระราชประสงค์จะให้พระนางเข้าเฝ้าและสดับพระธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงมีพระราชกุศโลบายให้กวีแต่งโคลงกลอนพรรณนาความงามและความร่มรื่นของวัดเวฬุวัน
พระนางพอสดับโคลงกลอนที่กวีขับถวายก็มีพระประสงค์จะเสด็จไปวัดเวฬุวัน จึงทูลขอพระราชานุญาตจากพระเจ้าพิมพิสารเสด็จไปทอดพระเนตรวัดและเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ขณะพระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรมให้เหมาะแก่พระอุปนิสัยของพระนาง ก็ได้ทรงเนรมิตร่างสตรีที่สวยงามประดุจนางฟ้าให้นั่งถวายพัดงานอยู่ใกล้ๆ พอพระนางทอดพระเนตรเห็นหญิงผู้งดงามดังเทพธิดานั้น ก็รู้สึกว่าความงามพระองค์ยังเทียบกันไม่ได้กับหญิงนั้น
และในขณะที่พระนางเพลินกับความงามของหญิงนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงเนรมิตหญิงสาวนั้นมีรูปเปลี่ยนไปเป็นคนอายุมาก ถือไม้เท้า ผิวหนังเหี่ยวย่นไปตามลำดับ สุดท้ายเหลือเพียงโครงกระดูก จนเมื่อทรงนึกย้อนมาที่พระองค์ก็คิดว่าคงต้องเป็นไปในสภาพนี้เหมือนกัน
พระพุทธเจ้าทรงเห็นพระนางพร้อมจะรับธรรมะจึงแสดงธรรมโปรดจนได้บรรลุธรรมสำเร็จเป็นอรหันต์ กลับมาพระราชมณเทียรก็ทูลขอพระราชานุญาตเพื่อทรงออกบวช
พระเจ้าพิมพิสารไม่ขัดข้อง พระนางได้ทรงออกผนวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาแล้วได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีปัญญามาก สามารถตรัสรู้ตามพระธรรมที่ทรงแสดงให้ฟังได้อย่างรวดเร็ว และได้รับการทรงตั้งในตำแหน่งอัครสาวิกาฝ่ายขวาด้วย
นี่คือสตรีที่มาจากเจ้าแล้วกลับมาสู่ความเป็นสามัญชน


