posttoday

สมัครสว.ไม่ถึงเป้า แต่เข้าทางปืนคสช.

05 ธันวาคม 2561

การสรรหาสมาชิกวุฒิสภามีความสำคัญเทียบเท่าการเลือกตั้งสส. เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยชี้ชะตาอนาคตการเมืองไทย

การสรรหาสมาชิกวุฒิสภามีความสำคัญเทียบเท่าการเลือกตั้งสส. เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยชี้ชะตาอนาคตการเมืองไทย

******************************************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การเลือกตั้ง สส.ที่กำลังเดินหน้าไปขณะนี้นั้นอีกด้านหนึ่งการสรรหา สว.ก็กำลังเป็นไปอย่างเข้มข้นเหมือนกัน ภายหลังเพิ่งปิดการรับสมัคร สว.อย่างเป็นทางการไปเมื่อไม่นานมานี้

สำหรับยอดผู้สมัคร สว.มีทั้งสิ้น 7,210 คน แบ่งเป็น การสมัครโดยยื่นใบสมัครด้วยตนเอง มีจำนวน 6,705 คน และสมัครโดยยื่นใบสมัครด้วยตนเองพร้อมแสดงหนังสือแนะนำชื่อผู้สมัครจากองค์กร มีจำนวน 505 คน

จากตัวเลขที่ออกมา ต้องถือว่าจำนวนผู้สมัครต่ำกว่าเป้าไปพอสมควร จากเดิมที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งเป้าจำนวนผู้สมัครไว้ประมาณ 1 แสนคน ตามขั้นตอนจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกในระดับอำเภอ จังหวัดและประเทศต่อไป

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จำนวนผู้สมัคร สว.ไม่เข้าเป้ามาจากระบบการคัดเลือกที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

กล่าวคือ ผู้สมัครต้องเลือกกันให้ได้ 200 คน จากนั้น กกต.จะส่งให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เลือกให้เหลือ 50 คน เพื่อเป็น สว.ต่อไป ซึ่งการให้ คสช.เป็นคนเลือกสุดท้ายนั้นต้องยอมรับว่าถ้าใครไม่มีท่อต่อที่เชื่อมไปถึง คสช. โอกาสที่จะได้เป็น สว.นั้นก็ริบหรี่พอสมควร แม้ตนเองจะมีความรู้ความสามารถเท่าใดก็ตาม

นอกจากนี้ คนจำนวนไม่น้อยก็ไม่อยากจะได้รับการขึ้นชื่อว่าเป็น “สว.ลากตั้ง” ซึ่งเป็นวาทกรรมที่เคยมีการโจมตีกันมาก่อนหน้านี้

จึงไม่แปลกที่ผลการสมัคร สว.จะมียอดต่ำกว่าเป้า จนก่อให้เกิดคำถามว่างบประมาณกว่า 1,300 ล้านบาท จะคุ้มค่าหรือไม่

แต่ภายใต้ยอดผู้สมัครที่ต่ำกว่าเป้าไปหลายเท่าตัวนั้น อีกด้านหนึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อ คสช.อย่างมีนัยสำคัญด้วย

ระบบการได้มาซึ่ง สว.ก่อนที่จะมีหน้าตาอย่างที่เห็นอยู่ในรัฐธรรมนูญทุกวันนี้ ผ่านการตัดแปะของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ คสช.พอสมควร

เดิม กรธ.ไม่ต้องการให้การเลือก สว.เป็นเรื่องที่ให้ผู้สมัครเลือกกันเอง เพื่อสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยตั้งเป้าว่าจะได้ สว.ที่มีฐานเชื่อมโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง ป้องกันไม่ให้เกิดข้อครหา “สว.ลากตั้ง” เหมือนในอดีต

แต่ปรากฎว่าทั้ง คสช.และ สนช.ในขั้นตอนของการพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ได้ศัลยกรรมจนทำให้ สว.มีที่มาสองทางและให้ คสช.เป็นผู้ตัดสินว่าควรจะให้ใครเป็น สว.ในขั้นตอนสุดท้าย

อย่างไรก็ดี ตัวเลข 7,200 คนที่ออกมา ย่อมเป็นที่พอใจกับ คสช.ในแง่หนึ่งเช่นกัน เนื่องจากน่าจะเกิดการบล็อกโหวตได้ยากจากกลุ่มการเมืองที่อาจส่งคนเข้ามาเพื่อหวังเป็น สว. ซึ่งจะช่วยให้ คสช.รู้จักหัวนอนปลายเท้าของแต่ละคนได้มากขึ้น เพื่อใช้เป็นต้นทุนในการ
เลือก สว.ต่อไป

ขณะเดียวกัน เหตุผลสำคัญที่ทำให้ คสช.ต้องหันมาใส่ใจและพิถีพิถันกับการเลือก สว.เป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นการเข้ามาทำหน้าที่ในระยะเปลี่ยนผ่าน

วุฒิสภา 250 คนในอนาคตที่มาจาก คสช. จะมีความสำคัญต่อ คสช.เป็นอย่างมาก ไม่ว่าที่สุดแล้วพรรคพลังประชารัฐจะชนะเลือกตั้งและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะได้เป็นนายกฯ อีกสมัยหรือไม่

ถ้าพรรคพลังประชารัฐ สว.จำนวน 250 คนจะไม่ต่างอะไรกับพรรค การเมืองที่จะเป็นเสียงข้างมากในการช่วยให้รัฐบาลพรรคพลังประชารัฐมีเสียงข้างมากล้นสภา เพื่อออกกฎหมายและฝ่าด่านขวากหนามของฝ่ายค้านไปได้อย่างไม่ยากเย็น

หรือทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านในกรณีพรรคการเมืองที่ไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐเข้ามาเป็นรัฐบาล เพื่อที่อย่างน้อย วุฒิสภาที่ คสช.เลือกเข้ามานั้นจะเป็นหลักประกันระดับหนึ่งว่าการปฏิรูปประเทศและแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ คสช.วางรากฐานเอาไว้น่าจะอยู่กับประเทศไทยไปอีกนานพอสมควร

ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การสรรหา สว.เริ่มมีความคึกคักทั้งสองช่องทาง ทั้งช่องทางของการเลือกกันของผู้สมัครและการสรรหาโดยตรงของ คสช.

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ สว.ที่จะมาจากการสรรหาของ คสช.โดยตรงจำนวน 250 คนที่เวลาเริ่มมีการขยับอย่างเห็นได้ชัด ดังที่ปรากฎความเคลื่อนไหวของ สนช.ในการจัดสรรโควตาว่าใครสมควรที่ผ่านรอบแรกเพื่อส่งชื่อไปให้ คสช.เลือก

“ถ้าพูดถึงประสบการณ์ก็ถือว่า สนช.ชุดที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นี้ มีประสบการณ์การทำงานด้านนิติบัญญัติพร้อม และมีความขยันขันแข็งที่จะปฏิบัติงานด้านนิติบัญญัติได้”

เป็นท่าทีจาก “พรเพชร วิชิตชลชัย” ประธาน สนช. แม้จะยืนยันว่า สนช.ไม่ได้มีการขอตำแหน่ง สว. แต่ก็ยอมรับว่า สนช.หลายคนมีคุณสมบัติเหมาะสม

การเลือก สว.เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดทิศทางการเมืองที่สำคัญ เพราะจะเป็นหน้าตาของวุฒิสภาที่จะออกมาให้คนไทยทั้งประเทศได้เห็นนั้นจะเป็นกระจกสะท้อนว่า คสช.กำลังคิดอ่านทางการเมืองอย่างไร

เพราะฉะนั้น การสรรหาวุฒิสภาจึงมีความสำคัญเทียบเท่ากับการเลือกตั้ง สส.ที่คนไทยรอคอยทั้งประเทศ เนื่องจากอนาคตการเมืองไทยจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่การทำหน้าที่ของวุฒิสภาด้วย