posttoday

ทักษิณโพล ชิงกระแส-ปลุกเครือข่าย

15 พฤศจิกายน 2561

ฮือฮาไม่น้อยหลังมีรายงาน “ทักษิณ ชินวัตร”จ้างบริษัททำวิจัยของสหรัฐทำโพลสำรวจคะแนนความนิยม พบว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคเครือข่าย จะได้ สส.รวมกัน 290 คน

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์ 

กลายเป็นที่ฮือฮาในทางการเมืองไม่น้อย ภายหลังมีรายงานข่าวออกมาว่า “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ได้จ้างบริษัททำวิจัยของสหรัฐอเมริกาทำโพลสำรวจคะแนนความนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมือง พบว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคเครือข่าย ทั้งพรรคไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ และพรรคเสรีรวมไทย จะได้ สส.รวมกัน 290 คน จากทั้งหมด 500 คน หรือคิดเป็น 58%

การทำโพลของอดีตนายกฯ ทักษิณนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะย้อนกลับไปเมื่อครั้งทำงานในนามพรรคไทยรักไทย ปรากฏว่าทักษิณก็ใช้โพลเพื่อเช็กกระแสเช่นกัน

วัตถุประสงค์ของการทำโพล เพื่อต้องการจะตอบโจทย์ว่าพรรคของตัวเองมีความนิยมอยู่ในระดับใด ไม่เพียงแต่ต้องการทราบในภาพรวมของพรรคเท่านั้น แต่ต้องการลงลึกไปถึงระดับตัวผู้สมัครด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาส่วนใหญ่บรรดานักเลือกตั้งมักจะกล่าวอ้างตัวเองมีความนิยมในพื้นที่ โดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน

ด้วยเหตุนี้ เพื่อไม่ให้มีแต่การกล่าวอ้างลอยๆ เพื่อหวังประโยชน์จากพรรค ทำให้ทักษิณเลือกใช้โพลเป็นเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบภายในพรรคอีกชั้นหนึ่ง เรียกได้ว่าเสมือนหนึ่งเป็นการทำไพรมารีโหวตเพื่อหาตัวผู้สมัครไปในตัว

มาครั้งนี้ก็เช่นกัน การทำโพลแน่นอนว่าเพื่อต้องการรู้ว่าตัวเองจะยืนเป็นพรรคอันดับหนึ่งในทางการเมืองหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่าการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บริหารประเทศมาเป็นเวลาถึง 4 ปี ประกอบกับระบบการเลือกตั้ง สส.ที่เปลี่ยนแปลงไป ย่อมทำให้ภูมิศาสตร์การเมืองเกิดการขยับตัวอยู่ไม่น้อยพอสมควร

แม้ผลของโพลจะออกมาโดนใจพรรคเพื่อไทย แต่ด้านหนึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้

การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงคู่แข่งของพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์เหมือนในอดีตเท่านั้น แต่ยังมี คสช.ภายใต้สีเสื้อของ “พรรคพลังประชารัฐ” อีกด้วย

พรรคพลังประชารัฐ กำลังก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งในลำดับสำคัญเท่าๆ กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีทั้งกระแสผ่านตัว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. และบารมีผ่านการทำงานของรัฐบาลที่กำลังขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐ ซึ่งมีชื่อสอดคล้องกับชื่อของพรรคอย่างเข้มข้น

ยิ่งไปกว่านั้น การทำงานของรัฐบาลในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งจะไม่ได้ถูกจำกัดเหมือนกับรัฐบาลรักษาการในอดีต จึงยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้รัฐบาลสามารถเร่งผลักดันโครงการประชารัฐให้ออกดอกออกผลได้มากขึ้น

การเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยมักจะลงสนามเลือกตั้งในฐานะที่ตนเองเป็นรัฐบาลรักษาการที่กุมอำนาจรัฐแทบทุกครั้ง มีเพียงการเลือกตั้งในปี 2550 และ 2554 ที่ไม่ได้ลงสนามในนามแชมป์เก่า ถึงสองครั้งที่ว่านั้นจะชนะเลือกตั้งได้ แต่โมเดลการเมืองเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว มีความแตกต่างกับวันนี้อย่างมีนัยสำคัญพอสมควร

พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีอาวุธครบมือเหมือนในอดีต มีเพียงแต่กระแสเก่าๆ ที่สั่งสมมา แม้กระแสทักษิณจะขายได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นคำตอบสุดท้ายของการเลือกตั้งที่จะมาถึง มิเช่นนั้นแล้วพรรคเพื่อไทยคงไม่เกิดสภาพเลือดไหลไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐหรือพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่พรรคเครือข่ายเพื่อไทยอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

ไม่เพียงเท่านี้ ปัญหาภายในพรรคเองก็มีเรื่องปวดหัวอยู่ไม่น้อย ภายหลังการขึ้นมากุมอำนาจของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

หน้าฉากอาจจะบอกว่าทั้งสองพรรค “เพื่อไทย-ไทยรักษาชาติ” สามัคคีปรองดองกัน แต่ลึกๆ แล้วความบาดหมางภายในที่มีต่อกันก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำพื้นที่ทางการเมืองในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อคู่แข่งมีความแข็งแกร่งอย่างที่พรรคเพื่อไทยไม่เคยเจอ บวกกับความขัดแย้งภายในที่เดือดไม่ต่างกับยามสงบเรารบกันเอง กลายเป็นแรงบั่นทอนกำลังใจของนักเลือกตั้งภายในพรรคไม่น้อย เนื่องจากไม่รู้ทิศทางที่ชัดเจนของพรรค

ด้วยเหตุนี้ การทำโพลและผลโพลที่ออกมาเป็นคุณกับพรรคเพื่อไทย น่าจะเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายใยแมงมุมของทักษิณไม่มากก็น้อย

“เรื่องนี้เป็นเรื่องอนาคต จะไปฟันธงได้เท่าไรอาจเกินการคาดการณ์ แต่เชื่อมั่นการเลือกตั้งครั้งนี้จะเกิดแลนด์สไลด์ฝั่งที่สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย” ท่าทีต่อทักษิณโพลจาก ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ

นอกจากนี้ ทักษิณโพลไม่เพียงแต่จะเป็นตัวเร้าให้กับพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายให้เร่งทำการบ้านสำรวจตัวเองมากขึ้นแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการกระตุกเตือนคู่แข่งของพรรคเพื่อไทย ห้ามประมาทพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งเด็ดขาด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคพลังประชารัฐ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาศัยฐานความนิยมของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหลัก

พูดง่ายๆ คือ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ กระแสดี พรรคพลังประชารัฐก็จะกระแสไปด้วย

ผ่านมา 4 ปี ความได้เปรียบที่ตัวเองเคยมีนั้น ถึงจะมีอยู่แต่ก็ไม่มากเหมือนในอดีต ดังนั้น หากชะล่าใจเป็นกระต่ายนอนหลับรอเต่าอยู่หน้าเส้นชัย อาจได้เห็นปรากฏการณ์น้ำตาเช็ดหัวเข่าได้เช่นกัน