posttoday

นักล่าแห่งฟากฟ้า ประเพณีอายุกว่า 6,000 ปีที่มองโกเลีย

25 มิถุนายน 2566

6,000 ปีก่อนคือกำเนิดของวัฒนธรรม ‘เบอคุทชิ' นักล่าอินทรีทอง แห่งเทือกเขาอัลไต ดินแดนสุดเวิ้งว้างที่ผู้คนยังมีวิถีชีวิตเร่ร่อนไปตามธรรมชาติอันงดงาม

แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมองโกเลีย แต่ประชากรส่วนใหญ่ของเมือง ‘บายันอูลกิ’ เป็นชาวคาซัก หรือจะเรียกว่าเป็นชนชาติคาซักสถาน ซึ่งประเทศก็อยู่ติดกันเพียงแค่เทือกเขากั้น .. พวกเขามีวิถีชีวิตเร่ร่อน เลี้ยงสัตว์และต้อนฝูงสัตว์ไปหาทุ่งหญ้าแห่งใหม่ตลอดทั้งปี แต่เดิมจึงไม่ได้อยู่กันเป็นหลักแหล่ง ข้ามเขตไปมา กระทั่งในปี ค.ศ.1930 มีการบังคับใช้เขตแดนนานาชาติขึ้นอย่างชัดเจน แบ่งแยกผืนแผ่นดินคาซักสถาน ออกจากมองโกเลีย  …. เทือกเขาอัลไตจากที่เคยเป็นศูนย์กลางชีวิตที่อิสระเสรีของชนเผ่าทุกชนเผ่า.. กลายเป็นเส้นแบ่งเขตแดน แยกพวกเขาออกจากกันอย่างสมบูรณ์ ชาวคาซักส่วนหนึ่งจึงตกเป็นประชากรของประเทศมองโกเลีย

แต่ไม่ว่าเส้นเขตแดนจะกั้นพวกเขาออกจากกัน ... วัฒนธรรม การแต่งกาย อาหาร ที่อยู่ ของพวกเขาก็ยังคงรักษาและสืบทอดกันมาไม่ขาดตกบกพร่อง และยังคงความเป็นชาวคาซักไว้ได้เป็นอย่างดี พวกเขานับถือศาสนาอิสลาม  สามารถพูดได้ทั้งภาษามองโกเลีย และภาษาคาซัก และยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณี ของตนเองไว้อย่างสมบูรณ์  หากจะถามว่าพวกเขาเป็นคนที่ไหน พวกเขาจะตอบเราในทันทีว่า พวกเขาคือคนคาซัก และหนึ่งในวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับชนเผ่าคาซักมานานกว่า 6,000 ปี นั่นก็คือนักล่าอินทรี หรือที่รู้จักในชื่อ ‘เบอคุทชิ’

 

เทือกเขาอัลไตและวิถีชีวิตเร่ร่อนของชาวคาซักซึ่งขึ้นอยู่กับการเลี้ยงสัตว์

เบอคุทชิ นักล่าแห่งฟากฟ้า

วิถีชีวิตของชนเผ่าคาซักผูกพันกับสัตว์หลายชนิด ตั้งแต่ฝูงแกะและแพะ ที่เลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารและน้ำนม ฝูงม้าที่ใช้สำหรับการเดินทาง  หมาป่าหรือหมาจิ้งจอกที่ล่าเพื่อนำมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่มกันหนาวเป็นอย่างดี รวมไปถึงนกอินทรีทอง นกอินทรีขนาดใหญ่เอาไว้ล่าจิ้งจอกพันธุ์คอร์แซค ( Corsac fox ) ซึ่งเป็นสุนัขจิ้งจอกขนาดกลาง อาศัยอยู่ในเขตทุ่งหญ้าสเตปป์ และทะเลทราย สามารถพบได้ในเขตบริเวณประเทศมองโกเลียและทางเหนือของประเทศจีนเท่านั้น  ..

เบอคุทชิ หรือนักล่าอินทรีทอง คือชายที่เลี้ยงอินทรีเพื่อจับสัตว์ พวกเขาจะได้รับการนับหน้าถือตาเป็นอย่างมากในสังคมชาวคาซัก เพราะการมีอินทรีทอง ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของสัตว์ที่มีพลังอำนาจสูงไว้เป็นคู่หูล่าสัตว์นั้นมิใช่เรื่องง่ายนัก ..

ศาสตร์แห่งการเลี้ยงอินทรีสืบทอดจากพ่อสู่ลูก ถ้ายังเด็กพวกเขาจะได้รับการอนุญาตเลี้ยงเพียงแค่เหยี่ยวเพื่อฝึกฝนวิธีการ  เมื่อโตขึ้นพวกเขาจะต้องเสี่ยงชีวิตไปนำลูกอินทรีที่ยังเล็กมาจากรังของแม่อินทรีที่ทั้งดุและหวงลูก  บางคนต้องปีนหน้าผาขึ้นไปและซุ่มรอจนกว่าแม่อินทรีจะออกไปจากรัง เพียงเพื่อจะนำลูกอินทรีมาเลี้ยงที่บ้าน ซึ่งสาเหตุที่ต้องนำมาตั้งแต่ยังเล็กก็เพราะพวกมันยังไม่เคยออกล่าหาอาหารมาก่อน  จึงเป็นอินทรีที่ฝึกง่าย  เพราะยังไม่ดุร้ายเท่าไหร่นัก  แต่ถ้าหากเป็นการฝึกอินทรีที่โตแล้ว จะยากกว่าเพราะมีความดุร้ายในการไล่ล่าจากสัญชาตญาณดิบของสัตว์

เมื่อได้ลูกอินทรีมาสมใจ เบอคุทชิจะไม่ยินยอมให้อินทรีล่าอาหารเอง  พวกมันจะถูกฝึกให้กินอาหารที่พวกเขานำมาเท่านั้น  และอินทรีเหล่านี้จะถูกครอบดวงตาด้วยหมวกสีดำ แรกเริ่มหากต้องเปิดที่ครอบตา เบอคุทชิจะเป็นผู้เปิดที่ครอบตาให้เท่านั้น  และเมื่ออินทรีถูกฝึกเช่นนี้นานเข้า  มันก็จะรับรู้ได้ว่าใครคือคู่หูของมัน และเรียนรู้ว่าเมื่อเปิดที่ครอบตาก็คือสัญญาณของการเริ่มต้นล่านั่นเอง

 

ชายชาวคาซักและอินทรีทองซึ่งสวมหมวกปิดตา

การฝึกใช้เวลานานหลายปีเพื่อที่จะได้รับความเชื่อใจจากอินทรี .. เราจะเห็นว่าอินทรีทองที่สยายปีกเต็มที่ด้วยความกว้างของปีกกว่า 2 เมตรและเกาะอยู่บนแขนข้างซ้ายของพวกเขา ขณะอีกมือหนึ่งจับบังเหียนของม้าขี่ฮ่อไปตามทุ่งหญ้า แต่กระนั้นอินทรีก็ไม่ได้สยายปีกบินหนีไป  .. อินทรีกลายเป็นเพื่อนที่ไปกับเหล่าเบอคุทชิแทบจะทุกที่ โดยเฉพาะในชั่วโมงล่าสุนัขจิ้งจอก

การล่าจิ้งจอกจะเริ่มจากสอนให้อินทรีรู้ว่าควรจะจับอะไร  เบอคุทชิจะฝึกอินทรีของเขาด้วยการนำเนื้อคลุมด้วยขนของจิ้งจอกผูกลากไปกับม้าและขี่ไปในความเร็วที่แตกต่างกัน ในขณะที่อินทรีจะต้องบินโฉบลงมาตะปบเนื้อปลอมนี้ให้ได้ .. เมื่อถึงสนามจริงพวกเขาจะเริ่มจากการซุ่มดูว่าจิ้งจอกอยู่ตรงไหน  เมื่อเบอคุทชิเห็นเหยื่อ พวกเขาจะปล่อยอินทรีโดยเร็ว และโดยสัญชาตญาณการเป็นนักล่าในตัว อินทรีจะบินไปตะปบเหยื่อโดยทันท่วงที แต่ก็มีบ้างที่อินทรีงอแงและบินร่อนลมเล่นหากไม่อยากที่จะล่า

สายสัมพันธ์ระหว่างคนและอินทรีทองนี้จะยาวนานไม่เกิน 10 ปี ก่อนที่เบอคุทชิจะปล่อยอินทรีคืนสู่ฟากฟากเช่นที่มันควรจะเป็น ซึ่งตามอายุขัยของนกอินทรี พวกมันสามารถมีชีวิตยืนยาวในธรรมชาติได้มากกว่า 60 ปี

 

เทศกาลอินทรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบายันอูลกิ

เมื่อถึงช่วงเดือนตุลาคม อากาศเย็นจัด เทือกเขาสวมหมวกหิมะเป็นแนวยาว และท้องฟ้าตอนใกล้พลบค่ำเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีชมพู ม่วง เหลือบไปจนถึงสีฟ้าจัด จะมีการจัดเทศกาลแข่งขันประลองอินทรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบายันอูลกิ เทศกาลนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 ...  การแข่งขันนี้เป็นโอกาสแค่เพียงปีละครั้ง ที่จะได้เห็นการรวมตัวของเหล่าเบอคุทชิจากทั่วทุกสารทิศ มาตั้งเกอร์เพื่อแข่งขันประลองความเร็วของอินทรีทองของตัวเอง

เกอร์ซึ่งเป็นกระโจมทรงกลม มีปล่องควันลอยเคว้งกลางอากาศให้ความอบอุ่น เรียงเป็นแถวกลางทุ่งหญ้าขนาดใหญ่  บางจุดถูกจัดเป็นตลาดแบกะดินขนาดย่อมๆ ให้ชาวบ้านได้นำของที่ระลึกมาขาย มีตั้งแต่สร้อยข้อมือเส้นเล็กๆ ไปจนถึงเสื้อขนสัตว์ที่มาจากขนหมาป่าหรือสุนัขจิ้งจอก ... บางเกอร์กลายเป็นร้านอาหารที่เสริฟอาหารร้อนๆ ให้นักท่องเที่ยวหรือคนที่มาร่วมงานได้รับประทาน  พร้อมกับชาร้อนๆ ให้พอได้อบอุ่นร่างกาย

 

ขนสุนัขจิ้งจอกซึ่งนิยมมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่มกันหนาว

เมื่องานเริ่มขึ้นแถวของเบอคุทชิซึ่งมีนกอินทรีอยู่บนลำแขนของตนและชุดขนสัตว์เต็มยศ ซึ่งมาจากฝีมือการล่าของพวกเขาเรียงแถวกันอยู่บนม้าตัวใหญ่ อายุของเบอคุทชิมีตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงผู้มากประสบการณ์ซึ่งอายุอานามบางคนก็ปาไปกว่า 70 ปี

เบอคุทชิ

การแข่งขันจะเริ่มจากผู้ช่วยเบอคุทชินำอินทรีปีนขึ้นเขา ซึ่งตั้งอยู่เบื้องหลังของฉากเทศกาล ปีนขึ้นไป ณ จุดสูงสุดเมื่อเสียงสัญญาณด้านล่างเริ่มต้นขึ้นเป็นการจับเวลา เบอคุทชิจะขี่ม้าของตัวเองซึ่งผูกชิ้นเนื้อไว้และฮ่อไปด้วยความเร็ว อินทรีที่ดีจะบินโฉบลงมาภายในเวลาไม่กี่วินาที  เพราะอินทรีทองสามารถบินพุ่งจากที่สูงเพื่อจับเหยื่อด้วยความเร็วที่มากกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากปกติที่มันบินด้วยความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น  และใครทำเวลาได้ดีกว่าผู้นั้นจะได้รับชัยชนะไปในท้ายที่สุด

 

 

ทุกวันนี้พื้นที่บายันอูลกิเหลือเบอคุทชิเพียง 200 คน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากวิถีชีวิตที่ปล่อยไปตามธรรมชาตินั้นหายไป บางคนต้องการอาชีพที่มั่นคงเป็นหลักแหล่ง และไม่ออกไปเร่ร่อนเฉกเช่นเดิม พวกเขาได้เงินจากการท่องเที่ยวและไปซื้อเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่แทนที่จะออกล่าสุนัขจิ้งจอก กระนั้นก็ตามจากที่ ‘เบอคุทชิ’ สงวนไว้แค่เป็นตำแหน่งของเพศชาย ทุกวันนี้มีความพยายามที่จะสอนเบอคุทชิที่เป็นเด็กหญิงขึ้นในช่วงปีหลังๆ เพื่อที่จะสืบทอดวัฒนธรรมแห่งฟากฟ้านี้ต่อไป.

ข่าวล่าสุด

พลังงานคุมเข้มแท่นขุดเจาะอ่าวไทย สกัดโดรนป่วน ไม่กระทบการผลิต