posttoday

พิงค์ ไวอะกร้า ยาปลุกเร้า หญิงวัยทอง?

09 ตุลาคม 2553

ประเด็นพิงก์ ไวอะกร้า กำลังกลายเป็นวิวาทะว่า อันที่จริงแล้วผู้หญิงจำเป็นต้องใช้ยาไวอะกร้าด้วยหรือ?

ประเด็นพิงก์ ไวอะกร้า กำลังกลายเป็นวิวาทะว่า อันที่จริงแล้วผู้หญิงจำเป็นต้องใช้ยาไวอะกร้าด้วยหรือ?

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

ขณะที่คำว่า “สาวคูการ์” กำลังเป็นที่รู้จักมักคุ้นในฐานะพฤติกรรมระบาดที่ผู้หญิงอายุมากกว่ามักเกิดอาการสปาร์ก ถูกอกถูกใจเลือก “ตะปบ” ชายวัยละอ่อนไว้คบหา

นั่นอาจจะเป็นหนึ่งช่องว่างที่สบโอกาสเกิดไอเดียการผลิต “พิงก์ ไวอะกร้า” (Pink Viagra) ยาไวอะกร้าสำหรับเพศหญิงขึ้น ช่วยสร้างความตื่นตัว กระปรี้กระเปร่าให้กับสาวใหญ่

หรือถ้าดูกันในเชิงการตลาดและธุรกิจยาชนิดนี้ก็ยังคงมีที่ว่างและมูลค่าให้ช่วงชิงตลาดอยู่ไม่น้อย

พิงค์ ไวอะกร้า ยาปลุกเร้า หญิงวัยทอง?

ยาตัวนี้จึงมีความหวังก้อนโตที่จะมาโกยเงินจากกระเป๋าสาวใหญ่ เหมือนอย่างที่เคยแช่มชื่นกับความสำเร็จที่ได้ดูดเงินจากชายหนุ่มน้อยใหญ่มานักต่อนักเป็นเวลานานนับ 10 ปีมาแล้ว

ผลการสำรวจพบว่าไวอะกร้าสำหรับผู้ชายนั้นสามารถ “ซ่อมบำรุง” เรื่องบนเตียงของผู้ชายได้ราว 27 ล้านคนทั่วโลก และจำนวนของผู้ใช้ยาก็ยังคงเพิ่มขยายขึ้น นับได้แบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์เลยทีเดียว มีการประมาณการตัวเลขคร่าวๆ ถึงมูลค่ารายได้จากไวอะกร้าว่ามีตัวเลขสูงลิ่ว อยู่ที่ราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.5 หมื่นล้านบาท) ต่อปีเลยทีเดียว

ฮอตฮิตขนาดไหนก็ดูได้จากข่าวคราวความเคลื่อนไหวในบ้านเราที่ดีมานด์ความต้องการสินค้าพุ่งปรี๊ด จนกระทั่งมิจฉาชีพและอาชญากรหัวใสคิดหาช่องทางปล่อยไวอะกร้าของปลอมมาบุกตลาด ทำเอาบรรดาหนุ่มน้อยใหญ่ตกเป็นเหยื่อมานักต่อนัก บางรายอาจจะต้องคอตก เพราะความหวังที่ฝากฝังไว้กับไวอะกร้าว่าจะเป็นอัศวินม้าขาวมาช่วยทำหน้าที่ “ซ่อมบำรุง” ได้ทำตามอย่างที่ใจสั่งมาเป็นอันต้องดับวอด
แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว แม้หลายครั้งอาจจะมีประเด็นของความเสื่อมถอยในเรื่องอย่างว่า แต่การที่ปล่อยพิงก์ ไวอะกร้า หรือไวอะกร้าสำหรับเพศหญิงออกมาสู่ตลาดนั้น อาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น...

ประเด็นพิงก์ ไวอะกร้า กำลังกลายเป็นวิวาทะว่า อันที่จริงแล้วผู้หญิงจำเป็นต้องใช้ยาไวอะกร้าด้วยหรือ?

วงการเภสัชกรรมฟากฝั่งตะวันตกกำลังเปิดประเด็นร้อนถกเข้มกันในเรื่องของภาวะหมดอารมณ์ทางเพศ (เอฟเอสดี) ของสาวใหญ่ว่าแท้ที่จริงแล้ว คือ “โรค” “ปัญหา” “อาการป่วย (ที่สมเหตุสมผลทางวิทยาศาสตร์)” หรือเป็นเพียง “กลยุทธ์การตลาด” กันแน่

เดลี เมล์ สื่อช่างเมาท์เมืองผู้ดี กล่าวว่า บริษัทยาจำนวนมากยืนยันสอดคล้องกันว่าผู้หญิงราว 4 ใน 10 คน มีภาวะความต้องการทางเพศลดลง

แทบลอยด์สุดฮอตจากเมืองผู้ดียังกล่าวด้วยว่า การศึกษาที่ได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวางและบ่อยครั้งมาก คือ ตัวเลขที่ชี้ว่าเฉลี่ย 43% ของผู้หญิงมีปัญหาเรื่องเซ็กซ์ หรือภาวะเอฟเอสดี

ตัวเลขเหล่านี้เองที่ทำให้บริษัทยาทั้งหลายขยันทำหน้าที่ พยายามยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไขเรื่องผู้หญิงๆ บางรายมุ่งเป้าไปที่การแก้ไขภาวะการไหลเวียนของเลือด คล้ายกับระบบการทำงานของไวอะกร้าของเพศชาย บางส่วนก็มุ่งเป้าศึกษาที่ระบบฮอร์โมน หรือเคมีในร่างกายที่มีผลต่ออารมณ์

แต่ทว่ากูรูออกมาฟันธงโต้ว่า ยาและการทดลองค้นคว้าของบริษัทยาเหล่านี้ ที่ประโคมความหวังว่าจะช่วยฆ่าภาวะเหล่านั้นของผู้หญิงได้ จริงๆ แล้ว ไม่เวิร์ก!

มีงานเขียนออกมาโจมตีว่า บริษัทยาทั้งหลายกำลัง “ประดิษฐ์” ภาวะความต้องการทางเพศต่ำของผู้หญิงให้กลายเป็น “ปัญหา” เพื่อที่ว่าจะใช้เปิดช่องให้ยาตัวใหม่ออกมาสู่ตลาด ทั้งที่ภาวะนั้นไม่ได้มีอยู่จริง

เดลี เมล์ ระบุว่า มีการพยายามจ่ายเงินให้คุณหมอ เพื่อให้ออกมาพูดเกี่ยวกับภาวะดังกล่าวว่า เป็นภาวะความผิดปกติที่พบอย่าง “แพร่หลาย” และจำเป็นต้องมีการวินิจฉัย และหาทางบำบัดรักษา

ข้อกล่าวหาทั้งหมดนี้ปรากฏหราอยู่ในงานเขียนของเรย์ มอยนิแฮน นักวิจัยและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลของออสเตรเลีย ที่ชื่อว่า “เซ็กซ์ เรื่องโกหก และเภสัชกรรม” (Sex, Lies and Pharmaceuticals) และมีการตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์ บริติช เมดิคัล เจอร์นัล ระบุว่า การทดลอง

ยาที่อ้างว่ามีส่วนช่วยในการเพิ่มความต้องการทางเพศของผู้หญิงนั้นเป็นความล้มเหลว ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอที่จะยืนยันถึงประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพ

นัยหนึ่งของงานเขียนดังกล่าวต้องการจะระบุว่า อารมณ์ทางเพศที่เหือดหายไปของผู้หญิงนั้นเป็นกลไกของร่างกายและความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ มากกว่าที่จะเป็นเรื่องที่ต้องสร้างความวิตก หรือเป็นโรคความบกพร่อง

พร้อมทั้งยังออกมาโจมตีว่า นักวิจัยจำนวนมากเข้าไปเกี่ยวข้องโยงใยในวงการอุตสาหกรรมยา หรือมีความเชื่อมโยงทางการเงินกันอีกด้วย
งานเขียนที่โพล่งออกมานี้ยิ่งเป็นชนวนสร้างความกังวลถึงภาวะทางอารมณ์ของผู้หญิงยิ่งขึ้นไปอีก

เพราะอันที่จริงใช่ว่าจะไม่มีเสียงจากผู้หญิงที่ออกมาโอดครวญในเรื่องนี้ และเรียกร้องให้มีการคิดค้นยาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับไวอะกร้าของผู้ชายที่มีท่วมท้นในตลาด

ประเด็นจึงทั้งร้อนและแรง และยังไม่มีทีท่าที่จะจบลงง่ายๆ ก็เพราะทางบริษัทยาหลายแห่งก็กำลังจะคิดค้นคว้า ทดลองและพิสูจน์ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เข้าสู่ตลาดปลุกรัก

งานนี้ก็ต้องต่างฝ่ายต่างเดินหน้าทำหน้าที่ของตัวเองกันต่อไป และทิ้งให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (เอฟดีเอ) ที่ต้องพิจารณาความถูกต้อง เหมาะสม ก่อนอนุมัติยาชนิดใหม่ออกสู่ตลาด

ในการทำงานของเอฟดีเอ นอกจากต้องดูถึงหลักความจริง ผลการทดลองที่สมเหตุสมผลในทางวิทยาศาสตร์แล้ว ยาประเภทนี้ก็ต้องป้องกันถี่ถ้วนไปถึงความเป็นไปได้ในการที่นำตัวยาชนิดนั้นๆ ไปใช้ในทางที่ผิด อาทิ ยาจะทำให้ผู้หญิงมีความต้องการอย่างขาดการพิจารณายับยั้งหรือไม่ ยาจะกลายเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม สบโอกาสให้วายร้ายหาผลประโยชน์จากผู้หญิงได้หรือไม่

หลังจากที่ปล่อยให้ตลาดไวอะกร้าสำหรับผู้ชายออกสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1998 ได้แรงติดลมบน จนตอนนี้แว่วมาว่าบริษัทกำลังชิงไหวชิงพริบฉกชิงพื้นที่ตลาดบุกหั่นราคา จ่อวางจำหน่ายแบบเสยกันถึงที่ จ่อกันถึงที่ร้านค้าสะดวกซื้อใกล้บ้านในฝั่งยุโรปและอเมริกากันแล้ว

แต่ท่ามกลางการถกเถียงที่ยังไร้ข้อสรุป ล่าสุดมีรายงานว่า ไบเออร์ บริษัทเวชภัณฑ์ระดับโลกจากเมืองเบียร์ก็เดินหน้าอนุมัติข้อตกลงงานวิจัย โดยยอมควักกระเป๋าจ่ายบริษัท เอ็นโดซูติกส์ (Endoceutics) ไป 330 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9,898 ล้านบาท) เพื่อให้เดินหน้าวิจัยขั้นที่ 3 ทดลองกับหญิงในแคนาดาและสหรัฐราว 1,500 คน
แม้ยาที่ว่าจะรู้จักและเรียกขานว่าเป็นพิงก์ ไวอะกร้า หรือไวอะกร้าสำหรับผู้หญิง แต่ชื่อที่ทางบริษัทเรียกขานคือ วาจายนอร์ม (Vaginorm)
คุณหมอเฟอร์นานด์ ลาแบร์ ประธานบริษัท ยืนกรานว่า ยาที่ว่าไม่ได้เป็นตัวยาเหมือนไวอะกร้าของหนุ่มๆ ซะทีเดียวอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะมีกระบวนการการทำงานที่แตกต่างกัน สาเหตุหลักก็เพราะต้นตอของภาวะการหมดอารมณ์ทางเพศของหญิงและชายแตกต่างกันนั่นเอง

บริษัทยืนยันว่ากระบวนการรักษาไม่ได้มุ่งไปที่ระดับของฮอร์โมน แต่เจาะลึกไปที่ DHAE โมเลกุลชนิดหนึ่ง ซึ่งจะลดน้อยถอยลงไปตามธรรมชาติ ตามอายุของผู้หญิง และเมื่อผู้หญิงเริ่มเหยียบย่างเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน

ยิ่ง DHAE ลดลงก็ยิ่งทำให้อุปกรณ์บางอย่างที่เคยใช้งานได้ดีเสื่อมถอยไปด้วย ดังนั้นยาที่กำลังทดลองอยู่นี้ก็จะดันให้ระดับของ DHAE ขยับสูงขึ้น ภาวะต่างๆ ในเรื่องเพศก็จะกลับฟื้นคืนสู่ปกติไปด้วย

ปัจจุบันมีผู้หญิงในช่วงวัยหมดประจำเดือนราว 75% หรือมากกว่า 360 ล้านคนทั่วโลก และราว 4-5 ล้านคน แคนาดากำลังไม่แฮปปี้กับภาวะช่องคลอดแห้งหรือฝ่อลีบ ดังนั้นยาตัวนี้ก็จะช่วยให้ผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่ต้องทุกข์ใจกับภาวะนี้อีกต่อไป

คุณหมอลาแบร์ยืนยันว่ายาดังกล่าวไร้ผลข้างเคียงอื่นๆ

งานนี้ต้องเข้าใจว่าทุกฝ่ายก็ต่างทำหน้าที่ ดังนั้นตลาดพิงก์ ไวอะกร้า จึงดูท่าว่าจะไม่ใช่เรื่องจิ๊บๆ ซะแล้ว

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา