posttoday

คำพิพากษา

30 สิงหาคม 2558

หากกล่าวถึง “ไอ้ฟัก” แห่งนวนิยาย เรื่อง “คำพิพากษา” ของ ชาติ กอบจิตติ คงทำให้นึกถึงภาพของชายที่ถูกขี้ปากชาวบ้าน

โดย...เอก กระจกเงา

หากกล่าวถึง “ไอ้ฟัก” แห่งนวนิยาย เรื่อง “คำพิพากษา” ของ ชาติ กอบจิตติ คงทำให้นึกถึงภาพของชายที่ถูกขี้ปากชาวบ้านนินทาว่าร้าย ว่าเอา “สมทรง” เมียซึ่งเสียสติของพ่อมาเป็นเมียของตัวเองหลังจากพ่อของเขาตายไปแล้ว นั่นเป็นภาพสะท้อนที่สังคมรอบด้านพิพากษาเขาไปแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง หรือไม่เคยแม้แต่กระทั่งจะรับฟังความจริงจากปากของฟัก กระทั่งเขาหันหลังให้กับสังคมและใช้เหล้าเป็นเพื่อนเพื่อให้ลืมเลือนการตีตราจากสังคม จนกระทั่งวาระสุดท้าย ความจริงก็ตายไปพร้อมกับฟัก เป็นคำพิพากษาที่ไม่เคยถูกแก้ไขหรือทำความเข้าใจอีกเลย

ในโลกยุคปัจจุบัน คนสามารถผลิตคำพิพากษาได้อย่างง่ายดายในการแสดงความคิดเห็นหรือคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ต เว็บบอร์ดหรือการแสดงความคิดเห็นใน Facebook ล้วนแล้วแต่เป็นช่องทางในการผลิตคำพิพากษาต่อเรื่องต่างๆ ได้โดยง่าย

เรื่องที่น่าเหลือเชื่อจากคำพิพากษาลอยๆ คือ คนอ่านกลับเชื่อข้อมูลโคมลอยเหล่านั้นอย่างสนิทใจ และถูกแชร์หรือผลิตซ้ำส่งต่อไป จนสร้างความน่าเชื่อถือประหนึ่งว่า ข้อความไหนยิ่งถูกแชร์มา หรือกดไลค์มาก กลับกลายเป็นข้อเท็จจริงที่เสมือนคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ข้อเท็จจริงสิ้นสุดลงแล้วปานนั้นเลยทีเดียว

ผมเขียนบทความนี้ขณะกำลังอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่ง ในการทำภารกิจติดตามตัวเด็กอายุ 2 ขวบที่หายตัวไปอย่างลึกลับ การสืบสวนติดตามหาเด็กหายรายนี้มีการตั้งข้อสันนิษฐานและประเด็นต่างๆ ไว้หลายเรื่องตามแนวทางการติดตามหาเด็กซึ่งมีอายุไม่เกิน 10 ขวบ

การตั้งประเด็นในการสืบสวนติดตามหาเด็กอายุไม่เกิน 10 ขวบในการหายตัวไป ลำดับแรกจำเป็นต้องตรวจสอบประวัติของครอบครัวว่ามีปัญหาเรื่องแย่งสิทธิการปกครองบุตรหรือไม่ เพราะอาจมีกรณีการมารับตัวเด็กไปจากญาติอีกฝ่ายหนึ่ง หากมีปัญหาเรื่องการเลิกราของพ่อแม่เด็ก ลำดับต่อมาต้องตรวจสอบการเกิดอุบัติเหตุและการพลัดหลงในพื้นที่บริเวณป่ารกร้างและแหล่งน้ำ เพราะเด็กเล็กๆ มีแนวโน้มในการพลัดหลงหรือเกิดอุบัติเหตุได้ ลำดับต่อมาให้พิจารณาประเด็นบุคคลมาลักพาตัวเด็กไป ทั้งพาออกนอกพื้นที่และก่อเหตุร้ายกับเด็กในพื้นที่แล้วอำพรางศพเอาไว้

ทั้งสามประเด็นถูกนำมาวิเคราะห์และตรวจสอบโดยละเอียด ประเด็นเรื่องปัญหาภายในครอบครัวว่าจะมีการแย่งความปกครองบุตรหรือไม่ถูกตัดทิ้งไป เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กยังอยู่ด้วยกัน ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องสิทธิในการปกครองบุตร ประเด็นต่อมาจึงมาดูเรื่องอุบัติเหตุหรือการพลัดหลงในพื้นที่ด้วย

สภาพภูมิประเทศของที่เกิดเหตุ รอบบ้านที่เด็กหายไปเป็นป่ารกทึบและมีแหล่งน้ำหลายจุด ดังนั้นประเด็นเรื่องการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

การติดตามค้นหาในพื้นที่ถูกระดมสรรพกำลังทั้งจากชาวบ้านในพื้นที่ ตำรวจ และหน่วยงานกู้ภัยค้นหาในจุดเสี่ยง ลงงมค้นหาในน้ำ กระทั่งสูบน้ำออกจากสระจนหมดก็ยังไม่พบตัวเด็กที่สูญหายไป ทั้งนี้ หากเป็นการเกิดเหตุร้ายจากการจมน้ำหรือพลัดหลง การพบศพจะพบได้โดยง่ายเพราะไม่ถูกอำพราง ยิ่งเป็นการตกน้ำ โดยธรรมชาติศพจะลอยขึ้นมาเอง

ประเด็นจึงตกมาอยู่ที่อาจมีบุคคลลักพาตัวเด็กไป แต่เนื่องจากสภาพที่เกิดเหตุเป็นหมู่บ้านปิด เป็นทางตัน ไม่ใช่ทางสัญจรผ่านไปมาของคนทั่วไป ตลอดจนบ้านที่เด็กหายไปเป็นบ้านที่ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่น ทางด้านท้ายซอย ซึ่งไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาในพื้นที่ หรือถ้ามีคนเข้ามา ย่อมต้องเดินผ่านบ้านหลังอื่นๆ ก่อน หรือคงมีเสียงสุนัขเห่าให้ได้ยินบ้าง ซึ่งพยานชาวบ้านแถวนั้นต่างยืนยันว่าช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีคนภายนอกผ่านเข้าออก

เมื่อทั้งสามประเด็นไม่มีน้ำหนักหรือไม่น่าจะเป็นไปได้ ยิ่งทำให้คนในชุมชนเริ่มวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ จนกระทั่งเล่าลือไปแล้วว่า อาจเป็นคนในครอบครัวที่ก่อเหตุฆาตกรรมเด็กก็เป็นไปได้

ข่าวลือนี้แพร่กระจายออกไปไวมาก โลกใบนี้แม้กว้างใหญ่แต่ก็เชื่อมกันด้วยโลกออนไลน์ทุกหย่อมหญ้าเสียแล้ว

มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจในการลงพื้นที่ครั้งนี้ของผม พบว่าระหว่างที่เรากำลังลงพื้นที่ตามหมู่บ้านและหาข่าวในพื้นที่ มีชาวบ้านจำนวนมากหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายภาพและคลิปวิดีโอ มีการบรรยายว่าใครมาจากหน่วยงานใดบ้าง คล้ายๆ กำลังรายงานข่าวแบบนักข่าวพลเมือง ซึ่งเกือบทุกคนเล่นที่ใช้สมาร์ทโฟน Facebook และกำลังติดตามข่าวการหายตัวไปของเด็กคนนี้

ข้อมูลจากในพื้นที่จึงเปรียบเสมือนการรายงานสด และถูกเคลมว่า เป็นข่าววงในจากที่เกิดเหตุ จึงเกิดการลือว่าคนโน้นเป็นคนก่อเหตุ คนนี้เป็นคนทำ สิ่งเหล่านี้จึงทำให้การแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ถูกเผยแพร่ต่อ กดแชร์ กดไลค์ กระทั่งได้รับความน่าเชื่อถือเพราะถูกอ้างอิงว่ารายงานจากในพื้นที่

เรื่องน่าสะพรึงกลัวของประเด็นนี้ก็คือ เนื้อหาจากในพื้นที่เมื่อปรากฏในโลกออนไลน์ ดันถูกทำซ้ำ เผยแพร่ ตัดต่อข้อความ เพิ่มเติมข้อคิดเห็น จนสาระของเรื่องถูกบิดและทำให้น่ากลัว

ผมยกตัวอย่างเช่น ระหว่างที่เรากำลังติดตามหาเด็กหาย มีข่าวในโลกออนไลน์ทุกวันว่า พบศพเด็กแล้วตรงจุดนั้น จุดนี้ สภาพศพถูกทำร้าย หั่นเป็นชิ้นส่วน ยัดใส่ถุงปุ๋ย และตำรวจจับคนร้ายซึ่งเป็นคนในครอบครัวได้แล้ว ซึ่งทำให้เราต้องเช็กข่าวกันวุ่นโดยตลอดว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่

แม้กระทั่งพ่อของเด็กที่สูญหายเองได้อ่านข้อมูลในโลกออนไลน์ ยังโทรมาถามพวกเราว่าเจอศพลูกเขาแล้วหรือ ทำไมครอบครัวยังไม่ทราบข่าว

สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่คนนอกพูดออกไปไกลเกินกว่าข้อเท็จจริง น่าแปลกใจที่คนหลงเชื่อและแชร์ข้อมูลซ้ำ ยิ่งคนแชร์มากยิ่งกลายเป็นการรับรองความน่าเชื่อถือของข้อความลวงเหล่านี้

 บ้านของเด็กผู้เสียหายไม่ค่อยมีใครเข้ามาคุยด้วย ผิดปกติจากบ้านที่ประสบเหตุในหลายๆ เคสที่ผ่านมา ซึ่งชาวบ้านมักมาถามไถ่ให้กำลังใจ เหตุเพราะหลายคนซุบซิบนินทาไปแล้วว่าคนในบ้านเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมและนำศพเด็กไปทิ้ง อาจทำให้เกิดทัศนคติความกลัว และเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่รอบๆ บ้านเกิดเหตุแทน

ช่วงเย็นของการค้นหาเด็กหลังจากครบสิบสามวันที่เด็กหายตัวไป ปรากฏว่าหน่วยกู้ภัยเดินเท้าค้นหาไปในป่าลึก หลังบ้านของเด็กที่สูญหาย ก็พบร่างของเด็กอยู่ในป่ารกร้างดังกล่าว แน่นอนว่า เด็กวัยเพียงสองขวบ ไม่สามารถเดินมาถึงตรงนี้ได้ตามลำพัง นั่นหมายความว่า เด็กอาจถูกฆาตกรรมและนำศพมาทิ้งอำพรางไว้ในป่าลึกแห่งนี้

การวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งดังขึ้นไปใหญ่ กล่าวหาอย่างชัดเจนว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ ในขณะที่ระหว่างการเก็บศพไปตรวจพิสูจน์ งานสืบสวนสอบสวนของตำรวจก็เริ่มขึ้น เพราะยังไม่มีใครรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุกับเด็ก หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ก็น้อยมาก เนื่องจากสภาพศพแห้งจนเห็นกะโหลกศีรษะไม่สามารถตรวจรอยนิ้วมือใดๆ ได้ เป็นงานยากที่ต้องหาหลักฐานไม่ใช่อ้างอิงจากข่าวลือต่างๆ

กระทั่งกลางดึกของคืนวันที่พบศพเด็ก ปรากฏว่า คุณตาของเด็กซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กมาตลอด ได้รับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุฆาตกรรมเด็ก โดยการบีบคอเพราะเด็กร้องและดื้อ ตลอดจนกดดันที่ลูกสาวส่งหลานให้มาเลี้ยงกว่า 4 คนแล้ว นี่คือข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่เกิดขึ้นจากปากคำของผู้ก่อเหตุ

ส่วน “คำพิพากษา” ได้ถูกเขียนขึ้นจากคำติฉินนินทาตั้งแต่วันแรกๆ ที่เด็กหายไป ยังพอโชคดีที่คำพิพากษานี้ยังมีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกันก็พิพากษาครอบครัวของผู้สูญเสียที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุการณ์นี้รวมไปด้วย ไม่ใช่ผู้ก่อเหตุที่ได้รับผลของคำพิพากษาจากชาวบ้านเพียงอย่างเดียว แต่ครอบครัวที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปก็ถูกพิพากษาไปตลอดกาลแล้วนับตั้งแต่นี้

และวันหนึ่งความจริงและความเจ็บปวดก็จะตายไปพร้อมกับพวกเขา เหมือนความจริงของไอ้ฟักแห่งคำพิพากษา

ข่าวล่าสุด

DITP พา 30 บริษัทไทยบุกจีนตะวันตก ปิดดีลอาหาร–สัตว์เลี้ยง 102 ล้าน