‘เส้น สี...ที่ฝากไว้’ ฟื้นภาพเขียน เฟื้อ หริพิทักษ์
ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีโอกาสได้ชมงานนิทรรศการของศิลปินแห่งชาติที่อยู่ในตำนานของวงการศิลปะร่วมสมัยของไทย
โดย...พรเทพ เฮง
ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีโอกาสได้ชมงานนิทรรศการของศิลปินแห่งชาติที่อยู่ในตำนานของวงการศิลปะร่วมสมัยของไทย ซึ่งวางวายไปแล้วถึง 22 ปี หากยังมีชีวิตอยู่ เฟื้อ หริพิทักษ์
ก็จะมีอายุถึง 105 ปี ในปัจจุบันกาล
โชคดีที่ทาง ลลิสา จงบารมี ประธานกรรมการมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกร พร้อมทีมกรรมการในมูลนิธิได้ร่วมมือกับ ทำนุ หริพิทักษ์ จัดนิทรรศการ “เส้น สี...ที่ฝากไว้” เพื่อเป็นการบูชาครูและนำเงินรายได้ไปจัดตั้งมูลนิธิอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ให้สำเร็จลุล่วงลงไปเสียที หลังจากที่รอมายาวนานหลายปีแล้ว
ปัจจุบัน การเก็บสะสมงานของเฟื้อ หริพิทักษ์ ถูกหอศิลป์และนักสะสมศิลปะต่างชาติครอบครองมากกว่า 60% โดยมีตั้งแต่ภาพลายเส้นปากกาและภาพสีเทคนิคต่างๆ ราคาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอยู่ในระดับหลักล้านขึ้นไปจนถึง 10 ล้านบาท
สำหรับในประเทศไทย องค์กรและบุคคลที่ครอบครองภาพวาดในปัจจุบันก็มีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลปเจ้าฟ้า, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ และนักสะสมชาวไทยหลายราย สำหรับต่างประเทศที่เปิดเผยก็คือ หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ กับหอศิลป์โตเกียว ญี่ปุ่น ที่อนุญาตให้ไปคัดลอกภาพได้
การแสดงภาพในนิทรรศการครั้งนี้ แม้จะเป็นงานรีโปรดักต์หรือผลงานที่คัดลอกจากต้นฉบับจริงที่ได้รับการตรวจสอบและการันตีว่าเหมือนภาพจริงถึง 99% แต่ก็เป็นโอกาสทองของคนไทยที่จะได้เสพงานศิลป์ชั้นเลิศของเฟื้อ หริพิทักษ์ แบบครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยจัดมา ด้วยจำนวนถึง 66 ภาพ เท่าที่ค้นหาและรวบรวมมาได้เท่าที่ความสามารถของลูกชายคือ ทำนุ หริพิทักษ์ จะทำได้ โดยที่เขาบอกว่าครั้งนี้เป็นการจัดนิทรรศการศิลปะที่สวยงามสมเกียรติและมีชีวิตชีวา
แนบ โสตถิพันธุ์ ศิลปินและนักไวโอลินชื่อดัง หนึ่งในลูกศิษย์ที่ได้ร่ำเรียนอย่างใกล้ชิดกับอาจารย์เฟื้อ ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ครั้งนี้ถือเป็นการรวบรวมผลงานครั้งที่ใหญ่ที่สุดหลังจากที่อาจารย์เฟื้อจากไป
“กว่าที่จะได้ผลงานทั้งหมดมาทำรีโปรดักต์ถือว่าลำบากมาก เพราะหอศิลป์และคนที่ครอบครองภาพจะหวงมาก แต่ที่ทำได้ถือว่าเป็นบุญอย่างยิ่ง ซึ่งภายภาคหน้าคงทำได้ยากแล้ว นักเสพงานศิลปะไม่ควรพลาด”
เรื่องราวแต่หนหลังของอาจารย์เฟื้อกับแนบนั้น เขาย้อนความหลังในสิ่งที่ได้สัมผัสเมื่ออดีตว่า อุปนิสัยของอาจารย์เฟื้อเป็นคนที่มุ่งมั่นมากในการทำงานทุกอย่างที่ศึกษาเพื่อให้สัมฤทธิผล
“ผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ในอิตาลีกับเมืองไทยจะแตกต่างกันมาก อาจารย์เฟื้อมีความชอบในงานแนวอิมเพรสชันนิสม์ การทำงานจะเขียนภาพออกมาจากความรู้สึก มีแรงบันดาลใจจากธรรมชาติโดยฉับพลัน ถ่ายทอดลงไปอย่างเต็มที่ อยู่เมืองไทยก็ฉายแววอยู่แล้ว เมื่อกลับมาจากอิตาลียิ่งเปิดกว้างและก้าวหน้า”
อุดมลักษณ์ ทรงสุวรรณ กรรมการมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกร เป็นอีกคนที่ได้รับเคล็ดวิชาทางศิลปะจากอาจารย์เฟื้อ บอกว่า อาจารย์ทำให้บรรดาลูกศิษย์เกิดพลังที่จะสร้างงานศิลปะ
“การเขียนรูปต้องออกมาจากใจ ส่งออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกที่ปลายนิ้ว รูปจึงมีพลังและมีชีวิต ซับซ้อนด้วยแสงและความงามของสี โดยเฉพาะบรรยากาศของรูปที่ส่งผ่านออกมา”
ความทรงจำของฝีมือทางศิลปะที่ตกทอดสู่คนรุ่นหลัง นิทรรศการ “เส้น สี...ที่ฝากไว้” ของ เฟื้อ หริพิทักษ์ จะจัดแสดงถึงวันที่ 18 ก.ค. 2558 ณ ห้องแสดงนิทรรศการ มูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกร 177 ลลิสาเพลส สุขุมวิท 39 กรุงเทพฯ โดยรายได้จากการจำหน่ายผลงานสนับสนุนการจัดตั้งมูลนิธิอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โทร. 02-662-8377
ครูใหญ่แห่งวงการศิลปะร่วมสมัย
เฟื้อ หริพิทักษ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี 2528 เกิดเมื่อวันที่ 22เม.ย. 2453 ที่ ต.ราษฎร์บูรณะ อ.ราษฎร์บูรณะ จ.ธนบุรี ประเทศไทย เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2536 สิริอายุ 83 ปี 180 วัน
ศึกษาระดับประถมศึกษาที่วัดสุทัศน์ และระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดราชบพิธและโรงเรียนวัดเบญจมบพิตร เริ่มศึกษาศิลปะอย่างจริงจังเมื่อปี 2472 ที่โรงเรียนเพาะช่างจนถึงชั้นปีที่ 5 แล้วมาศึกษาศิลปะกับอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่โรงเรียนประณีตศิลปกรรม กรมศิลปากร (ต่อมาเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร) ปี 2483 เดินทางไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยวิศวภารติ ศานตินิเกตัน กลับมาศึกษาค้นคว้าศิลปะไทยอย่างจริงจัง ทั้งเพื่อการอนุรักษ์และต่อยอดการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมแนวใหม่
ปี 2497 ไปศึกษาต่อ ณ ราชบัณฑิตยสถานที่กรุงโรม ด้วยทุนของรัฐบาลอิตาลีเป็นเวลา 2 ปี โดยมีเพียงจดหมายรับรองของ ศ.ศิลป์ พีระศรี ที่กล่าวถึงอาจารย์เฟื้อว่า “เป็นหนึ่งในศิลปินสยามที่ดีที่สุดในเวลานั้น”
อาจารย์เฟื้อได้ค้นคว้าและทดลองเทคนิคใหม่ๆ ทางจิตรกรรม รวมทั้งทดลองสร้างผลงานแนวนามธรรมและคิวบิกซึ่ม การสร้างสรรค์ทางศิลปะนับว่าเป็นผลงาน.ที่แปลกใหม่ไปจากผลงานศิลปะของศิลปินไทยในขณะนั้น จนกระทั่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในศิลปินผู้บุกเบิกศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย


