คฤหาสน์หรูตระกูลกัดดาฟี สัญลักษณ์แห่งการกดขี่และโกงกินยาวนาน42ปี
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องทั่วกรุงตริโปลี เมืองหลวงของลิเบีย
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องทั่วกรุงตริโปลี เมืองหลวงของลิเบีย ชายกลุ่มหนึ่งกำลังว่ายน้ำอย่างสนุกสนานในคฤหาสน์ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านสุดหรูไม่ไกลจากพื้นที่สู้รบ ขณะที่อีกมุมหนึ่งของบ้าน ชายอีกกลุ่มหนึ่งกำลังเพลิดเพลินกับสนุกเกอร์ในห้องรับแขกอันโอ่โถง และพรรคพวกราว 2-3 คนเดินสำรวจข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงที่วางเรียงรายตามตู้โชว์ในห้องต่างๆ
หากใครได้มาเห็นภาพนี้ก็คงแอบคิดอยู่ในใจว่า ท่ามกลางสงครามกลางเมืองในลิเบีย ชายกลุ่มนี้ต้องเป็นกลุ่มโจรที่หวังมาปล้นทรัพย์สินในบ้านอย่างแน่นอน เพราะสภาพของแต่ละคนที่ดูสะบักสะบอมมอมแมม ประกอบกับการจ้องมองสิ่งของในบ้านราวกับว่าเป็นของประหลาดแปลกปลอมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่เจ้าของบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน
เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ก็ดังขึ้นกว่าเดิมราวกับว่าการสู้รบกำลังเขยิบเข้ามาใกล้ทุกที แต่ผู้คนในคฤหาสน์กลับไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร
ทั้งนี้ เพราะชายเหล่านี้ไม่ใช่โจร แต่เป็นสมาชิกสภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติ (เอ็นทีซี) หรือที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันในนาม “กลุ่มกบฏลิเบีย” นั่นเอง และการมาสำรวจบ้านหลังนี้ก็เป็น “ภารกิจ” สำคัญที่ทางกลุ่มได้รับมอบหมายจากหัวหน้า
“พวกเรามาสำรวจบ้านของทรราช” คาเบ็ด สมาชิกกลุ่มกบฏคนหนึ่ง กล่าว
คฤหาสน์หลังดังกล่าวเป็นบ้านพักตากอากาศสุดหรูของ พ.อ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย และศัตรูหมายเลข 1 ของกลุ่มกบฏ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองของกรุงตริโปลี ในหมู่บ้านอันเงียบสงบที่มีชื่อว่า “เรเก็ตตา” หมู่บ้านซึ่งในอดีตเคยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของครอบครัวกัดดาฟีและบุคคลผู้มีอิทธิพลในลิเบีย
ที่บ้านพักของกัดดาฟีนั้นมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ ภายในบ้านก็มีแต่เฟอร์นิเจอร์และของใช้นำเข้าราคาแพง อาทิ เก้าอี้ยี่ห้อเบอร์เบอร์รี และพรมปิแอร์ กาแดง ภายในห้องนอนแต่ละห้องมีเสื้อผ้าดีไซเนอร์ชื่อดังแขวนอยู่เต็มตู้ และบางตัวนั้นยังมีป้ายราคาติดอยู่ด้วยซ้ำ
หากลองสำรวจบ้านหลังนี้ก็จะพบว่าข้าวของต่างๆ ในบ้านนั้นกระจัดกระจายไปหมด ราวกับว่าเจ้าของบ้านเร่งรีบออกจากบ้าน อีกทั้งบนโต๊ะรับประทานอาหารนั้นมีแก้วแชมเปญและอาหารวางอยู่มากมาย
“พวกเขาอาจกำลังจัดงานเลี้ยงกันอยู่ จนกระทั่งได้ข่าวว่ากลุ่มกบฏกำลังเข้าใกล้ ก็เลยต้องรีบหนีอย่างกะทันหัน” กบฏคนหนึ่ง กล่าว
แม้จะทราบดีว่าผู้นำลิเบียทุจริตคอร์รัปชันจนร่ำรวยมหาศาล แต่ความหรูหราเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่กลุ่มกบฏไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับชาวลิเบีย พวกเราไม่เคยมาว่ายน้ำที่นี่ หรือแม้แต่ได้เข้าใกล้รั้วหมู่บ้าน เพราะทราบดีว่าใครก็ตามที่มาป้วนเปี้ยนแถวนี้จะต้องถูกยิงแน่นอน” คาเบ็ด กล่าว
วิลลาหรูริมหาดนี้เป็นหลักฐานสำคัญซึ่งบ่งชี้ว่าตระกูลกัดดาฟีไม่ได้เพียงแต่ปกครองลิเบียมาเป็นเวลายาวนานถึง 42 ปีเท่านั้น แต่พวกเขาปฏิบัติราวกับว่าเป็น “เจ้าของ” ประเทศ อีกทั้งบ้านหรูหลังนี้ก็เป็นเพียงบ้านหลังหนึ่งของครอบครัวเท่านั้น โดยตระกูลกัดดาฟีมีบ้านหรูอีกหลายหลังทั้งในและต่างประเทศ
ทว่า ขณะที่กัดดาฟีและครอบครัวร่ำรวยล้นฟ้า ชาวลิเบียอีกฟากหนึ่งของรั้วกลับมีชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะอาศัยอยู่ในเพิงทรุดโทรมโดยไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าและน้ำสะอาดใช้ อีกทั้งยังมีรายได้แค่น้อยนิดที่แทบจะไม่เพียงพอในการประทังชีวิตแต่ละวัน
ทั้งนี้ ประเทศลิเบียมีประชากรราว 6.4 ล้านคน โดยในจำนวนนี้กว่าครึ่งเป็นประชาชนที่มีฐานะยากจนของประเทศ และอีกมากที่ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อเอาตัวรอดในแต่ละวัน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานอย่างน้ำสะอาด ไฟฟ้า และอาหาร กลายเป็นของมีค่าราคาแพง
ชาวลิเบียที่ด้อยการศึกษาส่วนใหญ่จะทำงานเป็นแรงงานค่าจ้างราคาถูก ทว่าประชากรที่มีการศึกษาที่สูงกว่าก็ใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดี เพราะในบางเมืองนั้นอาชีพอย่างพยาบาลและครูก็มีรายได้ต่ำเพียง 300 ดินาร์ (ราว 7 บาท) ต่อสัปดาห์เท่านั้นเอง
หลายคนอาจอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า เพราะเหตุใดชาวลิเบียจำนวนมากถึงต้องมีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากแค้น ทั้งๆ ที่ประเทศนั้นมีน้ำมันสำรองมากที่สุดในแอฟริกา และยังถือเป็นประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีที่สุดประเทศหนึ่งในแอฟริกาเหนือ โดยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากการผลิตน้ำมัน
สาเหตุก็คือรายได้และความมั่งคั่งจาก “สมบัติของชาติ” ไม่ได้ถูกกระจายอย่างทั่วถึง แต่กลับกลายเป็นขุมทรัพย์ที่ทำให้ชนชั้นปกครองของลิเบียร่ำรวยมหาศาลแทน
“ตระกูลกัดดาฟีได้รับผลประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ของประเทศ แต่ชาวลิเบียกลับไม่ได้อะไรเลย” สมาชิกกลุ่มกบฏคนหนึ่ง กล่าว
ความจริงก็คือ ในแต่ละปีลิเบียมีรายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐจากการขายน้ำมัน ซึ่งมากกว่างบประมาณแผ่นดินของประเทศเสียอีก หากเงินจำนวนนั้นถูกนำไปพัฒนาหรือปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตั้งแต่แรก ปัจจุบันลิเบียก็คงจะเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าปราศจากสงครามกลางเมือง
อย่างไรก็ตาม กัดดาฟีกลับเลือกที่จะโกงกินประเทศชาติ โดยตลอดช่วงที่บริหารประเทศด้วยกำปั้นเหล็กมานานถึง 42 ปี ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในบรรดาผู้นำกลุ่มประเทศแอฟริกาเหนือทั้งหมด กัดดาฟีและครอบครัวได้ยักยอกเงินรายได้จากการขายทรัพยากรน้ำมันเหล่านี้เข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง ทั้งในดูไบ ในกลุ่มประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ ครอบครัวและพรรคพวกของกัดดาฟีก็ยังผูกขาดธุรกิจน้ำมันของประเทศทั้งหมด โดยเป็นผู้เจรจากับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจบ่อน้ำมันในลิเบียแต่เพียงฝ่ายเดียว ประชาชนจึงไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารใดๆ เลย
เมื่อรายได้แทบทั้งหมดของประเทศตกอยู่ในมือของผู้นำเพียงฝ่ายเดียว แน่นอนว่าประชาชนก็ต้องอยู่อย่างลำบาก
“สวัสดิการที่ชาวลิเบียเคยได้รับนั้นน้อยมากและไม่ทั่วถึงอีกด้วย” แคสซานดรา เนลสัน อาสาสมัครของเมอร์ซี คอร์ปอเรชัน หน่วยงานพัฒนาระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจ กล่าว
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 42 ปีที่ผ่านมา กัดดาฟีสามารถกดขี่ประชาชนได้อย่างง่ายดาย เพราะประชาชนเหล่านั้นมีฐานะยากจนและการศึกษาน้อย
“ชาวลิเบียแทบจะไม่มีหนทางได้สู้เลย ทุกครั้งที่มีใครพยายามเรียกร้องความยุติธรรม อีกสัปดาห์หนึ่งเขาก็จะถูกจับกุมตัวและหายตัวไปอย่างลึกลับ” เนลสัน กล่าว
ชาวลิเบียเกรงกลัวกัดดาฟี เพราะเจ้าตัวนั้นเปรียบเสมือน “เจ้าชีวิต” โดยเป็นผู้นำลิเบียที่มีอำนาจเด็ดขาด และกุมชะตากรรมชาวลิเบียทั้งประเทศ
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาแห่งความเกรงกลัว หรือ “ยุคมืด” ของลิเบียก็ใกล้ที่จะถึงจุดจบแล้ว ภายหลังประชาชนได้ลุกฮือเรียกร้องความเป็นธรรม สิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตยอย่างไม่กลัวตาย จนกัดดาฟีนั้นต้องหนีไปกบดานตามเมืองต่างๆ ในลิเบีย ในขณะที่สมาชิกครอบครัวหลายคนก็ได้ตัดสินใจเผ่นหนีข้ามชายแดนเข้าแอลจีเรียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คฤหาสน์หลังดังกล่าวจึงถูกทอดทิ้งจนกระทั่งกลุ่มกบฏได้เข้ามาสำรวจ
“บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่บ้านธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเผด็จการอันชั่วร้ายของกัดดาฟี หลักฐานการโกงกินประชาชนมานานถึง 42 ปี และในวันนี้วันที่เราใฝ่ฝันก็มาถึง” คาเบ็ด กล่าว
ตอนนี้เงินและทรัพย์สินของตระกูลกัดดาฟีที่ได้มาด้วยวิธีอันไม่ชอบธรรมได้ไร้ค่าแล้ว เพราะในขณะที่ข้าวของราคาแพงถูกทอดทิ้งไว้ที่ลิเบีย เงินของครอบครัวในธนาคารต่างประเทศก็ถูกอายัด และดูเหมือนว่ากลุ่มกบฏจะสะใจกับชะตากรรมของครอบครัวกัดดาฟี
“พวกเขาต้องชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้ สมน้ำหน้าจริงๆ ที่มีเงินมหาศาลขนาดนั้นแต่กลับใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย” อิบราฮิม มาดานี สมาชิกกลุ่มกบฏวัย 29 ปี กล่าว
นอกจากนี้ กลุ่มกบฏกลับไม่ได้รู้สึกอิจฉาตาร้อนกับความหรูหราของชีวิตครอบครัวกัดดาฟีเลยแม้แต่น้อย ขณะที่อีกหลายคนกลับรู้สึกไม่ประทับใจกับคฤหาสน์สุดอลังการของกัดดาฟีด้วยซ้ำ
“พวกเราไม่ได้รู้สึกประทับใจกับไลฟ์สไตล์เช่นนี้” มาดานี กล่าว โดยมองว่าชาวลิเบียไม่ได้ต้องการทรัพย์สินราคาแพงใดๆ เพียงแต่ต้องการความเป็นธรรมที่ไม่เคยได้รับภายใต้การปกครองของกัดดาฟีเท่านั้น
กลุ่มกบฏมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ชาวลิเบียสามารถขับไล่กัดดาฟีได้สำเร็จ พร้อมทั้งหวังว่าลูกหลานจะมีชีวิตที่ดีกว่าในลิเบียยุคใหม่นี้
ทั้งนี้ กลุ่มกบฏเตรียมที่จะเปิดบ้านหลังนี้ เช่นเดียวกับบ้านหรูอีกมากมายในลิเบียให้ประชาชนทุกคนได้มีโอกาสเข้าชมและพักผ่อนอย่างสนุกสนาน เพราะสุดท้ายแล้วทรัพย์สมบัติเหล่านี้ก็ควรตกทอดไปยังชาวลิเบียทุกคน “ในที่สุดชาวลิเบียก็จะได้เป็นเจ้าของประเทศสักที” กลุ่มกบฏกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน
เชื่อว่าต่อไปนี้คฤหาสน์หลังนี้จะต้องเป็นเครื่องเตือนสติชาวลิเบียถึงยุคสมัยแห่งการโกงกินและกดขี่ของผู้นำเผด็จการอย่างแน่นอน และทุกคนก็หวังว่าประวัติศาสตร์นั้นจะไม่ซ้ำรอย


