posttoday

โชคดี 2 ชั้น...จากชัยชนะของไบเดน ไปจนถึงความคืบหน้าของวัคซีน

17 พฤศจิกายน 2563

คอลัมน์ 10 เรื่องต้องรู้ สู่ความมั่งคั่ง โดย...นิษณากาญจน์ ภาษวัธน์ ธนาคารกสิกรไทย

1. เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน มาด้วยความน่าตื่นเต้นจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ชัยชนะของนายไบเดน สร้างความพึงพอใจให้กับตลาด เห็นได้จากปฏิกิริยาตอบสนองของตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงหลังจากผลการเลือกตั้งเริ่มชัดเจน โดยตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ดัชนี S&P500 ดัชนี NASDAQ และดัชนี Dow Jones ปรับตัวขึ้นมา 8.4% 5.1% และ 11% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2563) สวนกับทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนตุลาคมที่ส่งสัญญาณลุ่มๆ ดอนๆ จากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระลอก 2 ในยุโรป และความไม่แน่นอนเรื่องผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ

2. แม้ว่าปัจจุบันการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ จะยังคงดำเนินอยู่ และอาจยืดเยื้อถึงเดือนมกราคมปีหน้าก็ตาม แต่ผลล่าสุดคาดว่าจะเป็นรัฐบาลผสม คือพรรคเดโมแครตครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่พรรครีพับลิกันรักษาเก้าอี้ส่วนใหญ่ในวุฒิสภาไว้ได้ ต่างจากที่ตลาดคาดว่าพรรคเดโมแครตจะชิงได้ทั้งประธานาธิบดี รวมถึงได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ซึ่งจะส่งผลให้การผ่านร่างกฎหมายทำได้ยากลำบากขึ้น โดยเฉพาะขนาดของงบประมาณใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้การนำของนายไบเดนจะมีขนาดเล็กลงกว่าที่ตลาดคาดก่อนหน้านี้ แต่ตลาดก็ยังคงมองในแง่ดีว่า โอกาสการขึ้นภาษีนิติบุคคลของนายไบเดนที่จะกดดันกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนก็น้อยลงด้วยเช่นกัน

3. ข่าวดีก็ยังไม่สิ้นสุด ต่อเนื่องมาในวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัท Pfizer และบริษัท BioNTech เปิดเผยข่าวดีเรื่องการผลการทดลองวัคซีนโรคโควิด 19 Phase 3 ที่มีประสิทธิภาพกว่า 90% ในการป้องกันไวรัสสำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน แน่นอนว่ายิ่งโลกมีวัคซีนเร็วขึ้นเท่าไหร่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกก็จะกลับมาได้เร็วขึ้นเท่านั้น ตลาดหุ้นจึงตอบสนองในแง่บวก โดยเฉพาะหุ้นของหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันหนักจากโรคโควิด 19 ก่อนหน้านี้ โดยหุ้นโลกกลุ่ม Energy และกลุ่ม Financials ปรับตัวขึ้น 16.3% และ 8.5% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2563)

4. แต่ทุกหนทางก็ไม่ได้สวยงามไปเสียหมด เพราะ หุ้นที่เป็น Winner ของปี 2020 ตลอดมา ซึ่งก็คือ หุ้นกลุ่ม Tech กลับถูกแรงกดดันเทขายสวนทางกัน โดยดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 2.9% (ข้อมูล ณ วันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2563) โดยแรงฉุดมาจากหุ้น Tech หลายแขนง เช่น Amazon Microsoft Zoom Paypal และ Netflix ตลาดจึงกลับมาพูดถึง Sector rotation กันอย่างกว้างขวางว่าการ Outperform ของหุ้นกลุ่ม Tech ที่เติบโตดีกำลังจะจบลง

5. สำหรับมุมมองของเรา ช็อตแรกที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นจากชัยชนะของนายไบเดน เรามองว่าเป็นการดูดีขึ้นในแง่ Sentiment มากกว่า Fundamental เนื่องจากตลาดคลายความกังวลจากความแน่นอนที่ชัดเจนขึ้นว่าใครเป็นประธานาธิบดีคนถัดไป มากกว่าการคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตดีขึ้น

6. ขณะที่ช็อตที่ 2 เรามองว่าการ rotate เข้าหุ้น Cyclical และ Value จะเป็นเพียงกลยุทธระยะสั้นที่ตลาดเคลื่อนไหวตามข่าวอย่างเดียว โดยยังไม่ได้พิจารณาว่าวัคซีนยังเป็นเรื่องอนาคตอันไกล ถึงแม้ว่าวิจัยวัคซีนสำเร็จ ความยาก คือ การผลิตในจำนวนมาก และกระจายให้ใช้ได้ทั่วถึง ซึ่งความล่าช้าอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในระบบการขนส่งที่ต้องดำเนินการภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำกว่า -70 องศาเซลเซียส

7. อย่างไรก็ดี จาก 2 ข่าวดีข้างต้น ความเสี่ยงโดยรวมของตลาดหุ้นโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากระดับดัชนี VIX ที่ใช้วัดความผันผวนของดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ที่ล่าสุดปรับตัวลงมาแตะที่ระดับ 25 เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 83 ในช่วงเดือนมีนาคมที่ตลาดกังวลเรื่องโรคโควิด 19 อย่างหนัก และเทียบกับระดับที่ 40 ในช่วงปลายเดือนตุลาคม โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ

8. ดังนั้น การลงทุนในหุ้นจึงยังน่าสนใจ แต่การคัดสรรตามธีมจะจำเป็นมากขึ้น แม้ว่าปัจจุบันหุ้นกลุ่ม Tech จะถูกเทขาย แต่ในระยะยาวบริษัทในกลุ่มนี้ก็ยังจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของโลก และ Outperform ตลาดโดยรวม โดยคาดการณ์เติบโตกำไรสุทธิในปี 2020-2021 ของหุ้นกลุ่ม Tech อยู่ที่เกือบ 30% นอกจากนี้ พฤติกรรมที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ก็คาดว่าจะยังคงถูกใช้อยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการประชุม หรือการช้อปปิ้งออนไลน์

9. โดยเรามองว่าหุ้นจีน และหุ้นกลุ่มรักษ์โลกจะยังคงเป็น Winner ท่ามกลางความผันผวนของหุ้น Tech ในระยะสั้นที่นักลงทุนต่างแห่กันเก็งกำไร โดยหุ้นจีนจะได้ผลประโยชน์จากการโจมตีทางการค้าที่รุนแรงน้อยลง แม้ว่ากำแพงภาษีนำเข้าจะยังคงเดิมก็ตาม ขณะที่หุ้นกลุ่มรักษ์โลก โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่นายไบเดน รวมถึงรัฐบาลในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญก็จะเป็นสิ่งที่จะถูกผลักดันหนักขึ้นเรื่อยๆ ต่อจากนี้

10. สำหรับด้านตราสารหนี้ เริ่มต้นจากพันธบัตรรัฐบาลก็มีแนวโน้มที่เส้นโค้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะปรับตัวชันขึ้น จากการที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลตัวยาวปรับตัวขึ้นเร็วกว่า เนื่องด้วยมุมมองในอนาคตที่สดใสขึ้นจากข่าวพัฒนาวัคซีน ขณะที่ด้านหุ้นกู้เอกชน เราอาจเห็นการปรับตัวลงของ Credit Spread หรือ ส่วนต่างผลตอบแทนของตราสารหนี้เอกชนกับพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งหมายถึงนักลงทุนที่อาจเริ่มกลับมารับความเสี่ยงในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำได้มากขึ้น