คุณหญิงสุดารัตน์ประกาศทำภารกิจสุดท้าย สร้างการเมืองสุจริต
คุณหญิงสุดารัตน์ย้ำจุดยืนสร้างการเมืองสุจริต ล้างทุนสกปรก ปฏิรูปกระบวนการบริหารภัยพิบัติ และเชิญชวนประชาชนลุกขึ้นสู้กับการเมืองเลวที่กัดกินประเทศมายาวนาน
KEY
POINTS
- การเมืองสุจริตคือภารกิจสุดท้ายที่คุณหญิงสุดารัตน์ย้ำว่าจะทำให้สำเร็จ
- ทุนสกปรก–คอร์รัปชัน คือรากเหง้าปัญหาที่ทำลายเศรษฐกิจและระบบการเมืองไทย
- เธอเรียกร้องให้ประชาชนร่วมลุกขึ้นสู้ เพื่อไม่ให้การเมืองเลวยึดประเทศต่อไป
ภารกิจสุดท้ายเพื่อฟื้นศรัทธา การเมืองไทยต้องสุจริตเสมอ
ยืนอยู่กลางเวทีการเมืองกว่า 30 ปี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประกาศอย่างหนักแน่นว่า การทำงานกับพรรคไทยสร้างไทยครั้งนี้ อาจเป็น “ภารกิจสุดท้าย” ในชีวิตการเมือง แต่เธอยืนยันว่าเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด นั่นคือการสร้างระบบการเมืองที่ประชาชนไว้วางใจ และยืนอยู่บนเสาหลักเพียงหนึ่งเดียว ความสุจริต ไม่ว่าพรรคจะมีจำนวน สส. เท่าใด เธอมองว่าคุณค่าของพรรคอยู่ที่ความดีที่ประชาชนสัมผัสได้จริงมากกว่าอำนาจที่วัดด้วยตัวเลขในสภา.
ภารกิจนี้ผูกพันโดยตรงกับ “คนตัวเล็ก” ซึ่งเป็นกลุ่มที่คุณหญิงสุดารัตน์ย้ำเสมอว่าเป็นหัวใจในการทำงานการเมืองของเธอ เพราะเธอเชื่อว่าความยุติธรรมที่แท้ ต้องเริ่มจากการทำให้คนที่เสียเปรียบที่สุดมีชีวิตที่ดีขึ้น มีโอกาส มีอนาคต และมีสังคมที่ไม่ทอดทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลัง แนวทางนี้จึงถูกวางอยู่ในข้อบังคับพรรคอย่างชัดเจน เพื่อให้เป็นหลักยึดสำหรับสมาชิกและผู้แทนทุกคน.
แต่เส้นทางไปสู่การเมืองสุจริตนั้นต้องฝ่าขวากหนามใหญ่ ไม่ใช่เพียงการแข่งขันทางการเมือง แต่ยังรวมถึงระบบผลประโยชน์และการคอร์รัปชันที่เธอเรียกว่า “มะเร็งร้าย” กัดกินประเทศมานาน เธอชี้ชัดว่าการโกงกินทำให้ประเทศสูญเสียงบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี และทำให้จีดีพีหดหายถึง 3% ทุกปี ตัวเลขเหล่านี้คือรอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศไทยไม่อาจก้าวพ้นกับดักเดิม ๆ ได้เลย.
เงินสกปรกกัดกินประเทศ บทเรียนทรยศจากนักการเมือง
คุณหญิงสุดารัตน์ไม่เพียงชี้ปัญหาคอร์รัปชัน แต่เธอเปิดโปงระบบทุนสกปรกที่ไหลเวียนอยู่ในโครงสร้างการเมืองและตลาดทุนไทยอย่างตรงไปตรงมา ปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ และเครือข่ายฟอกเงิน ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยถูกตราหน้าว่าเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินระดับภูมิภาค เงินที่ไม่สามารถโอนเข้าไปยังสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือประเทศที่มีกฎหมายเข้มงวด กลับไหลเข้ามาล้างในไทยอย่างสะดวก เพราะ “ระบบอุปถัมภ์และความทุจริตของนักการเมืองบางกลุ่มเปิดช่องให้ทั้งหมดเกิดขึ้นได้”
คุณหญิงสุดารัตน์ ชี้ว่าเงินสกปรกจำนวนมหาศาลเข้ามาปั่นหุ้น ทำราคาหลอกลวง ทำร้ายนักลงทุนรายย่อย และทำให้ตลาดทุนไทยเสี่ยงเสียความเชื่อมั่นในระยะยาว แม้ปปง.และตำรวจจะเริ่มอายัดทรัพย์ได้กว่า 10,000 ล้านบาท แต่เธอย้ำว่า นั่นเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” เพราะแก๊งฟอกเงินมีทุนหมุนเวียนใหญ่กว่านั้นหลายเท่า โดยเฉพาะเมื่อถูกปล่อยให้ซ่อนตัวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อย่างไร้การตรวจสอบ.
กรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ ยกขึ้นมาอย่างชัดเจนคือบริษัทพลังงานแห่งชาติอย่าง “บางจาก” ซึ่งมีทุนสีเทาเข้าไปซื้อหุ้นรวมเกือบ 25% จนมีอำนาจครอบงำกิจการได้ โดยเรียกร้องให้ปปง. ตลท. และก.ล.ต. ลงมาตรวจสอบอย่างจริงจัง พร้อมตั้งคำถามว่า หากรัฐไม่ยอมจัดการแม้กับบริษัทพลังงานที่เป็นเสาหลักความมั่นคงของประเทศ แล้วประชาชนจะหวังพึ่งอะไรจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่กำลังถูกเงินดำกัดกินอยู่เงียบๆ
บทเรียนภาวะผู้นำ–จากซาร์สถึงน้ำท่วมใต้ และคำเชิญชวนลุกขึ้นสู้
ในอีกมุมหนึ่ง คุณหญิงสุดารัตน์หยิบเหตุการณ์ซาร์ส ไข้หวัดนก และสึนามิ มาเป็นตัวอย่างของ “ภาวะผู้นำ” ที่ต้องใช้ทั้งความกล้า ความรับผิดชอบ และการตัดสินใจบนข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ เธอเล่าว่าในสมัยรับมือซาร์ส เธอต้องเตรียมพร้อมลาออกเพื่อรับผิดหากบุคลากรที่เธอส่งออกไปเสี่ยงชีวิตต้องเสียชีวิต นี่คือบทเรียนที่ทำให้เธอเชื่อว่า ผู้นำต้องพร้อมรับผิดเสมอ ไม่ใช่ซ่อนตัวอยู่หลังอำนาจหรือกฎหมาย.
คุณหญิงสุดารัตน์ นำบทเรียนนี้มาเปรียบกับวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่หาดใหญ่ ซึ่งเธอระบุว่ารัฐบาลไม่ได้ตัดสินใจจากข้อมูลจริง ทั้งที่หน่วยงานน้ำเตือนล่วงหน้าแล้ว แต่กลับฟังความเห็นจากคนใกล้ชิดแทน
นอกจากนี้ การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ยังถูกวิจารณ์ว่าเป็น “เกราะคุ้มกันผู้มีอำนาจ” เพราะไม่ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการภัยพิบัติโดยตรง ต่างจาก พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่มีระบบรับผิดชอบและตรวจสอบชัดเจนกว่า
ท้ายที่สุด ตุณหญิงสุดารัตน์ หันกลับมาพูดกับประชาชนโดยตรง—เชิญชวนให้ทุกคน “ลุกขึ้นต่อสู้” ไม่ยอมจำนนต่อการเมืองเลวที่ใช้เงินซื้อเสียง ซื้อ ส.ส. หรือฮั้วอำนาจกับกลุ่มผลประโยชน์ พร้อมย้ำว่าประเทศจะเปลี่ยนแปลงได้จริง ก็ต่อเมื่อประชาชนเลือกคนดี และไม่ให้รางวัลกับคนที่ทำร้ายประเทศ พรรคไทยสร้างไทยอาจเล็ก แต่ถ้าแนวคิดความซื่อสัตย์ถูกส่งต่อจนเป็นพลังของคนจำนวนมาก ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างโครงสร้างใหม่ให้ประเทศได้
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


