posttoday

AOT พุ่ง 3.31% รับข่าวแก้สัญญา “คิง เพาเวอร์” ขยายสัมปทานดิวตี้ฟรี

03 ธันวาคม 2568

ราคาหุ้น AOT พุ่ง 3.31% รับข่าวแก้สัญญา “คิง เพาเวอร์” ขยายสัมปทานดิวตี้ฟรีดอนเมือง-สุวรรณภูมิ อีก 2 ปี พร้อมปรับเงื่อนไขส่วนแบ่งรายได้ เป็นประโยชน์มากกว่ายกเลิกสัญญาเพื่อเปิดประมูลใหม่

KEY

POINTS

  • หุ้น AOT ปรับตัวขึ้น 3.31% หลังคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการแก้ไขสัญญาและขยายเวลาสัมปทานร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) กับบริษัท คิง เพาเวอร์
  • สาระสำคัญของการแก้ไขสัญญาคือการเพิ่มส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูมิภาคจาก 20% เป็น 35% ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ ทอท. เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • มีการขยายระยะเวลาของสัญญาที่สนามบินสุวรรณภูมิออกไปอีก 2 ปี จนถึงปี 2578 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาสนามบินและรักษาความต่อเนื่องของการให้บริการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 ธ.ค.2568) ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ปิดช่วงเช้า เวลา 12.30 น. ปรับเพิ่มขึ้น 3.31% หรือเพิ่มขึ้น 1.50 บาท มาอยู่ที่ 46.75 บาท ราคาปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 47.25 บาท และปรับตัวลงไปทำระดับต่ำสุดที่ 45.25 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 2,149.50 ล้านบาท

หลังจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ AOT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง ทอท. ได้รายงานให้ทราบว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 16/2568 เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2568 ที่ประชุมได้มีมติให้ความเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. ตามรายงานผลการศึกษาของที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. 

จากกรณีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้มีหนังสือถึง ทอท.เพื่อขอหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยให้ฝ่ายบริหาร ทอท.ใช้ผลการศึกษาดังกล่าว เป็นกรอบแนวทางในการเจรจากับ KPD เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ทอท. และเป็นธรรมกับคู่สัญญา โดยให้เสนอ ผลการเจรจาให้คณะกรรมการ ทอท.พิจารณาต่อไป ความละเอียดทราบแล้ว นั้น

โดยในการประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 18/2568 เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2568 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบผลการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) ของคณะทำงานเจรจาเพื่อหาข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. และอนุมัติให้ ทอท.แก้ไขสัญญาอนุญาต ให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.ทั้ง 5 แห่งดังกล่าวข้างต้น ตามผลการเจรจาของคณะทำงานเจรจาฯ ต่อไป โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

ทอท.ได้พิจารณาทางเลือกหลัก 2 แนวทางคือ การแก้ไขสัญญาเปรียบเทียบกับการยกเลิกสัญญาเพื่อเปิดประมูลใหม่ ซึ่งได้ข้อสรุปว่าทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดคือการแก้ไขสัญญา โดยปรับเงื่อนไขการอนุญาตให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการบริหารสัญญา เพื่อให้ ทอท.สามารถให้บริการผู้โดยสารได้อย่างต่อเนื่อง รักษาผลประโยชน์ของ ทอท.ในระยะยาว และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ทอท. โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

1.รักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ ทอท.สามารถให้บริการผู้โดยสารได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีระดับ การให้บริการ (Level of Service) ที่ดี โดยการให้บริการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรถือเป็นบริการที่สำคัญ กล่าวคือ ทอท.ไม่ต้องดำเนินการหาผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาและงบประมาณ อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอน จากการหาผู้ประกอบการรายใหม่มาทดแทน ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 14 เดือน

2. รายได้ที่มั่นคงกว่า กล่าวคือ ทอท.ยังคงได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มี ช่วงที่ขาดรายได้ในระหว่างการประมูลหาผู้ประกอบการรายใหม่ และจะทำให้สูญเสียรายได้จากการไม่มีผู้ให้บริการ

3.ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่า กล่าวคือ จากผลการศึกษาพบว่า แนวทางการแก้ไขสัญญาจะให้ผลตอบแทนทางการเงินที่สูงกว่าผลตอบแทนขั้นต่ำในกรณีหาผู้ประกอบการรายใหม่ในสถานการณ์ปัจจุบัน และ ไม่ต่ำกว่าข้อเสนอของผู้ยื่นข้อเสนอลำดับสองที่ยื่นประมูลในครั้งก่อน

4.ลดความเสียหายต่อเศรษฐกิจ กล่าวคือ การยกเลิกสัญญานอกจากจะทำให้ ทอท.ขาดรายได้และLevel of Service ลดลงแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาพรวมการจ้างงานของผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง อันส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม แนวทางนี้เป็นกรณีที่โครงการสามารถดำเนินการต่อไปได้และลดความเสียหายที่อาจเกิดต่อเศรษฐกิจโดยรวมและอัตราการจ้างงานจากผู้ประกอบกิจการที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการเลือกแนวทางการแก้ไขสัญญาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อ ทอท.มากกว่ากว่าการยกเลิกสัญญาแล้วเปิดประมูลใหม่ โดยกรณียกเลิกสัญญา ทอท.จะขาดรายได้จากค่าผลประโยชน์ตอบแทนจนกว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาดำเนินการแทน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 14 เดือน และผู้ประกอบการรายใหม่อาจไม่สามารถ ให้ค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ ทอท.ได้ในระดับที่เทียบเท่าหรือสูงกว่าผู้ประกอบการรายปัจจุบัน (จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก) ซึ่งในแต่ละสัญญายังคงเงื่อนไขดังต่อไปนี้

1) การเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee : MG) โดย ทอท.จะยังคงได้รับ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (MG) และค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำมีอัตราเติบโต 5% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ของประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2) ส่วนแบ่งรายได้ 20% (Revenue Sharing) และ 3) ค่าผลประโยชน์ ตอบแทนส่วนเพิ่ม (Upside) หากเข้าเงื่อนไขที่กำหนด โดยมีรายละเอียดของแนวทางการแก้ไขในแต่ละท่าอากาศยานดังนี้

1.ทสภ.

แนวทางแก้ไข : ทอท.ยังคงการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อหัว (MG) ตามหลักการเรียกเก็บตามจำนวนผู้โดยสารเช่นเดิม โดยเรียกเก็บเป็นรายปี (เทียบเท่า 232.90 บาทต่อคนและมีการเติบโตในอัตรา 5% ทุกปีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ทอท.ได้เจรจาทำให้ได้ส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ส่วนเพิ่มอีก 35% ของมูลค่าซื้อต่อผู้โดยสาร (Spending per Head) ส่วนเกิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทอท.มีโอกาสในการมีรายได้เพิ่มเติม ในกรณีที่สถานการณ์อุตสาหกรรมการบินปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมากกว่าสัญญาเดิมที่เรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้เพียง 20% ตลอดอายุสัญญา

ขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก 2 ปี ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนา ทสภ.ที่คาดว่า จะดำเนินการก่อสร้างในส่วนของอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) แล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ.2575 การขยายระยะเวลาของสัญญาดังกล่าวจะครอบคลุมช่วงที่ต้องปิดซ่อมแซมพื้นที่ทุกส่วนในอาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้ประกอบการ KPD ใช้ดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน ระหว่างปี พ.ศ.2575 – 2578 ทั้งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว คาดว่าจะไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่สนใจเข้าร่วมประมูล ดังนั้น การขยายอายุสัญญาจึงมีความจำเป็นเพื่อให้ ทสภ.สามารถรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในระหว่างการทยอยปิดซ่อมแซมอาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบัน ได้อย่างราบรื่น

2.ทดม.

แนวทางแก้ไข : ทอท.ยังคงการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อตารางเมตร (โดยคิดเป็น 39,187.76 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน) และเรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ที่ 20% ตามสัญญาเดิม และหากอัตราการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารกลับมาเกิน 100% ทอท.จะกลับไปใช้อัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อตารางเมตรตามที่เคยตกลงไว้ก่อนหน้า

ขยายระยะเวลาของสัญญา เนื่องจากตามแผนพัฒนาท่าอากาศยาน ผู้ประกอบการปัจจุบันมีความจำเป็นต้องย้ายไปให้บริการ ณ อาคารผู้โดยสาร 3 และรื้อถอนการลงทุนในอาคารผู้โดยสารเดิมออก ผลการศึกษาพบว่า หากมีการลงทุนในพื้นที่ใหม่สำหรับธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรจะมีระยะเวลาการประกอบกิจการ ที่เหมาะสมจากการลงทุนใหม่นั้นประมาณ 5 ปี

ดังนั้น การขยายระยะเวลาของสัญญาที่เหมาะสมและสร้างแรงจูงใจ ในการย้ายอาคารผู้โดยสาร คือ 5 ปี (นับรวมอายุสัญญาคงเหลือ) กล่าวคือ หากระยะเวลาจากสัญญาเดิมเหลือ 3 ปี ในวันที่อาคารผู้โดยสาร 3 แล้วเสร็จ ระยะเวลาคุ้มทุนคือ 5 ปี ดังนั้น ระยะเวลาที่เหมาะสมในการขยายสัญญาอยู่ที่ 2 ปี อย่างไรก็ตาม หากการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร 3 ล่าช้าออกไปจนทำให้สัญญาประกอบกิจการของ KPD ณ ทดม. ปัจจุบันคงเหลืออายุสัญญาไม่ถึง 1 ปี ณ วันเปิดอาคารผู้โดยสาร 3 อย่างเป็นทางการ ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณายกเลิกสัญญาของ KPD ปัจจุบัน เพื่อเปิดประมูลใหม่

3.ทกภ., ทชม. และ ทหญ. (ท่าอากาศยานภูมิภาค)

แนวทางแก้ไข : ทอท.ยังคงการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (MG) ตามหลักการ เรียกเก็บตามจำนวนผู้โดยสารเช่นเดิม โดยเรียกเก็บเป็นรายปี (เทียบเท่า 129.67 บาทต่อคนและมีการเติบโตในอัตรา ร้อยละ 5 ทุกปีอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2573 เนื่องจากสภาพการใช้จ่ายของผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานภูมิภาค และปริมาณผู้โดยสารปรับตัวลงอย่างมากภายหลังสถานการณ์โควิด-19 หรือเทียบเท่าค่าเฉลี่ยตลอดสัญญาที่ 134.70 บาทต่อคน)

อีกทั้ง ทอท.ได้เจรจาทำให้ได้ส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ส่วนเพิ่มอีกร้อยละ 35 ของมูลค่าซื้อ ต่อผู้โดยสาร (Spending per Head) ส่วนเกิน เมื่อบรรลุเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้เช่นเดียวกับ ทสภ. ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทอท.มีโอกาสในการมีรายได้เพิ่มเติมในกรณีที่สถานการณ์อุตสาหกรรมการบินปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมากกว่าสัญญาเดิม ที่เรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้เพียง 20% ตลอดอายุสัญญา

ทั้งนี้ ภายหลังการแก้ไขสัญญาแล้ว ในอนาคตหากธุรกิจกลับมาเหมือนเดิมตามข้อเสนอการดำเนินงานกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Proposal) ของ KPD ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ที่จะขอเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนเดิมตามที่ KPD เสนอใน Proposal

บล.โกลเบล็ก ระบุว่า สัญญา duty free ใหม่กับ King Power ดีกว่าที่เราและตลาดคาด จาก upside +15% pts ของส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ

วันนี้ AOT เพิ่งประกาศผลการเจรจาสัญญาฉบับ duty free และพื้นที่ให้เช่าร้านค้าฉบับใหมกับ King Power สำหรับ 5 สนามบินของ AOT

(+) BKK สนามบินสุวรณภูมิที่ใหญ่และมีความสำคัญที่สุด ยังคงเรียกเก็บ Minimum Guarantee เท่าเดิม ที่ THB232.9/คน + 5% เพิ่มขึ้นทุกปี 

แต่ที่สำคัญคือ การที่ AOT เจรจาขอเพิ่มส่วนแบ่งรายได้จาก 20% เป็น 35% ของมูลค่าการซื้อ และขยายเวลาจากเดิมไปอีก 2 ปี ไปถึงปี 2578 (จากเดิมหมดสัญญาปี 2575) ทำให้มีโอกาสได้รายได้เพิ่มจากทั้งจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่ม แลการขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ที่จะเสร็จในปี 2575 

(0) DMK: ส่วนสนามบินดอนเมือง เรียกเก็บ THB39,187.76/ตารางเมตร และคงส่วนแบ่งรายได้เท่าเดิมที่ 20% 

(+) สนามบินเชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ไม่เปลี่ยนแปลง โดยเรียกเก็บที่ THB129.7/คน +5% ต่อเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2573 หลังจากปรับลดลงมาจาก THB134.7/คน แต่เพิ่มส่วนแบ่งรายได้จากการใช้จ่าย 35% เพิ่มจาก 20% เดิม 

ความเห็น: เพราะรายได้ที่ได้จาก King Power ส่วนใหญ่มาจาก BKK สนามบินสุวรรณภูมิ มากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้ upside ที่ได้จาก BKK เป็นตัวสำคัญที่ทำให้กำไรจะเพิ่มขึ้นราวปีละกว่า 1,000-4,000 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการเพิ่มส่วนแบ่งรายได้จาก 20% เป็น 35% คิดเป็น 2-4% ของรายได้และราว 10-20% ของกำไร เพราะเป็นรายได้เพิ่มที่ไม่มีค่าใช้จ่ายนั่นเอง  

โดยยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" และปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย SoTP จาก 48 บาท เป็น 55 บาท   

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เรอัล มาดริด พบ แมนซิตี้ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก วันนี้ 10 ธ.ค.68