เอกนิติ ตั้งคณะทำงาน Data Bureau ลุยเช็กเส้นทางเงินเทา ขีดเส้นจบ ธ.ค.นี้
เอกนิติ สั่งตั้งคณะทำงาน Data Bureau บูรณาการเชื่อมโยง 12 หน่วยงาน เชื่อมโยงข้อมูลการเงินทุกหน่วยงาน แก้ปัญหาเงินเทาทั้งระบบ ตั้งเป้ายกระดับมาตรฐานสากล FATF ให้เสร็จสิ้นภายใน ธ.ค.2568
KEY
POINTS
- กระทรวงการคลังจัดตั้ง "คณะทำงาน Data Bureau" เพื่อบูรณาการข้อมูลทางการเงินจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับยกระดับการตรวจสอบเส้นทางเงินเทาให้เป็นมาตรฐานสากล
- การตรวจสอบจะมุ่งเน้น 3 ด้านหลัก คือ การพิสูจน์ตัวตน, การตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัย, และการติดตามการไหลของเงินผ่านช่องทางเสี่ยง เช่น คริปโตเคอร์เรนซีและตลาดทองคำ
- คณะทำงานตั้งเป้าหมายให้ทุกกระบวนการเชื่อมโยงข้อมูลและแก้ปัญหาช่องโหว่ทางกฎหมายแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย ครั้งที่ 1/2568 ว่า คณะทำงานชุดนี้มีภารกิจหลักในการ บูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานกำกับดูแล ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางการเงินทั้งหมด เพื่อยกระดับการตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมการเงินที่ต้องสงสัย หรือที่เรียกว่า "เงินเทา" ให้ได้มาตรฐานสากล
นายเอกนิติกล่าวว่า สิ่งที่ได้ข้อสรุปจากการประชุม คือการจัดตั้ง "คณะทำงาน Data Bureau" ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลและข้อกฎหมายระหว่างทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมารวมกัน การรวมข้อมูลนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้โดยไม่ต้องติดขัดข้อจำกัด หรือต้องแยกกันดูข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน การดำเนินการนี้เป็นการแก้ปัญหาทั้งระบบ ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะกรณีหรือเฉพาะเคส
สำหรับ หน่วยงานที่เข้าร่วมบูรณาการข้อมูลและกฎหมายประกอบด้วย
• กระทรวงการคลัง
• กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE)
• กระทรวงยุติธรรม
• กระทรวงพาณิชย์ (โดยเฉพาะกรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
• สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
• กรมศุลกากร, กรมสรรพากร, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), ตำรวจ (ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง)
• ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
• สมาคมธนาคารไทย, สมาคมการเงินของรัฐ (หรือสมาคมธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ) และผู้เชี่ยวชาญ โดยมี ป.ป.ส.ค. เป็นฝ่ายเลขานุการ
คณะทำงาน Data Bureau จะเน้นการตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัยใน 3 หัวใจหลัก โดยจะร่วมทำกับสมาคมธนาคารไทย, ธปท., ก.ล.ต., และ ปปง.
1. การพิสูจน์ตัวตน คือ ตรวจสอบว่าเป็นใคร เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล เป็นตัวจริง หรือเป็น นอมินี หรือไม่ ปัจจุบันบางตลาด เช่น ตลาดทองคำ ยังไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวดในการพิสูจน์ตัวตนเหมือนการเปิดบัญชีธนาคาร
2. การตรวจสอบพฤติกรรม คือ ตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัย เช่น การแจ้งว่าเป็นนักท่องเที่ยวแต่มีเงินไหลเข้าออกในปริมาณมาก หรือแจ้งว่าเป็นนักธุรกิจที่ทำโรงแรมแต่มีธุรกรรมเงินเข้าออกผิดปกติ ซึ่งพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับธุรกรรมของเงินจะเป็นตัวบ่งชี้
3. การตรวจสอบการไหลเข้าออกของเงิน คือ ตรวจสอบธุรกรรมการเงินที่ไหลเข้าและไหลออก
ช่องทางการเงินที่อาจเป็นพฤติกรรมต้องสงสัย ได้แก่ คริปโตเคอร์เรนซี (Crypto), เงินสด/ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงิน (Money Changer) ซึ่งรวมถึงพวกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแล, และ ตลาดทองคำ (ทั้งทองคำกายภาพและตลาดอนุพันธ์ที่เป็นกระดาษ)
ธุรกรรมต้องสงสัยมักจะไหลเข้ามาผ่านช่องทางเหล่านี้ และนำไปสู่การฟอกเงินผ่านการซื้อสินทรัพย์อื่น เช่น การซื้อทองคำ, อสังหาริมทรัพย์, รถหรู, หรือเพชร
สำหรับช่องโหว่ทางกฎหมาย คณะทำงานจะใช้ตัวอย่างเคสจริงจากกระทรวงยุติธรรมมาทดลองดูว่ากฎหมายที่มีอยู่เดิม (ปปง., ธปท., กลต.) ที่กระจัดกระจาย สามารถนำมาใช้ตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างไร หากกฎหมายปัจจุบันยังครอบคลุมไม่ถึง เช่น เรื่องการกำกับดูแลทองคำ หรือ Private Wallet กระทรวง DE กำลังเร่งจัดทำกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านี้อยู่
นอกจากนี้จะใช้มาตรฐานสากล FATF (Financial Anti Money Laundering Action Task Force) เป็นกลไกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสืบหาเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง ในธุรกรรมข้ามประเทศ
“เราจะไม่แก้ปัญหาเงินเทาแบบเฉพาะจุดอีกต่อไป แต่จะบูรณาการข้อมูลการเงินทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันเพื่อให้ระบบตรวจสอบโปร่งใสและได้มาตรฐานสากลจริง ๆ การดำเนินการครั้งนี้เป็นการแก้ปัญหาทั้งระบบ โดยจะยกระดับการกำกับดูแลพฤติกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัย ผ่านการนำเคสตัวอย่างจากกระทรวงดิจิทัลฯ และกระทรวงยุติธรรมมาวิเคราะห์ เพื่อดูความเชื่อมโยงของนิติบุคคล นอมินี และเส้นทางการเงิน รวมถึงช่องทางการลงทุนอย่างทองคำที่ยังต้องเร่งหากฎหมายกำกับดูแลให้ชัดเจน" นายเอกนิติก
สำหรับ คณะทำงาน Data Bureau จะมี ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย โดยจะเร่งหารือในรายละเอียดทั้งหมดและกลับมารายงานภายใน 2 สัปดาห์
นายเอกนิติยืนยันว่า เป้าหมายของการจัดตั้งคณะทำงาน Data Bureau คือการยกระดับระบบกำกับดูแลทางการเงินของไทยให้ได้มาตรฐานสากล โดยเฉพาะตามหลักเกณฑ์ของ FATF พร้อมกำหนดให้ทุกกระบวนการแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 ทั้งนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย PDPA ซึ่งอนุญาตให้ดำเนินการได้เพื่อประโยชน์สาธารณะ


