posttoday

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (79)

09 กันยายน 2561

ต่อมาในวันที่ 9 มีนาคม ปี 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

โดย วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย 

ต่อมาในวันที่ 9 มีนาคม ปี 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงประกอบพระราชพิธีเสด็จขึ้นพระตำหนัก ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์หนังสือเล่มเล็กปกสีชมพู มีคำโคลงสามสิบบท เรียกว่า โคลงนิราศประลองยุทธ พระราชทานแก่ผู้ร่วมงานเป็นที่ระลึก เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2477 และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระราชทานที่ดินที่ได้รับพระราชทาน และพระราชทานพระตำหนักที่หมู่บ้านท่ายาง ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน ให้แก่ราชการ มีพระเสาวนีย์ให้เป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอ โรงเรียน หรือสุขศาลาก็ได้ แต่ขณะนั้นทางการยังมิได้ดำเนินการ จนกระทั่งปี 2482 ทางอำเภอกำแพงแสนจึงทำหนังสือกราบทูลขอพระราชทานที่ดิน 21 ไร่ และพระตำหนักเพื่อเปิดเป็นโรงเรียนประชาบาล ซึ่งก็ทรงพระกรุณาพระราชทาน (แต่ว่าโครงสร้างของตำหนักเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว) ปัจจุบันคือโรงเรียนอินทรศักดิ์ศึกษาลัย

สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี มิได้ทรงพระครรภ์จนครบกำหนดประสูติ แต่ได้ทรงตก(แท้ง)เสียก่อนที่จะประสูติถึง 2 ครั้ง ต่อมาในปลายรัชกาล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการว่าด้วยการออกพระนาม โดยโปรดให้ออกพระนามว่า สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา แทน เมื่อวันที่ 15 กันยายน ปี 2468 และโปรดฯ ให้เสด็จไปประทับยังพระที่นั่งวิมานเมฆ ภายในพระราชวังดุสิต

สาเหตุที่ทรงลดพระอิสริยยศมีหลายประการ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายพระราชทานแก่สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีฯ อย่างละเอียด ปรากฏอยู่ในพระราชบันทึกส่วนพระองค์ ซึ่งบัดนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในที่เฉพาะและไม่อาจเผยแพร่ได้ด้วยเหตุผลนานาประการ แต่มีปรากฏในพระราชพินัยกรรม เรื่อง การสืบพระราชสันตติวงศ์แลตั้งพระบรมอัฐิ ซึ่งได้รับการเผยแพร่ เป็นพระราชพินัยกรรมสั่งถึงเมื่อถวายพระเพลิงพระศพแล้วจะจัดการอย่างไรกับพระบรมอัฐิ โดยได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือศิลปวัฒนธรรม ในปี 2528 เป็นพระราชพินัยกรรม ฉบับบันทึกประจำวัน ลงวันที่ 8 กันยายน ปี 2468 ก่อนวันประกาศลดพระอิสริยยศประมาณ 1 สัปดาห์ ในพระราชพินัยกรรม ความว่า

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (79)

“...ข้อ ๔ ต่อไปภายหน้าก็คงจะมีเหตุเรื่องตั้งพระบรมอัษฐิ คือ จะเอาองค์ใดขึ้นมาตั้งคู่กับฃ้าพเจ้า. ฃ้าพเจ้าขอสั่งเด็ดขาดไว้เสียแต่บัดนี้, ห้ามมิให้เอาพระอัษฐิสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีขึ้นมาตั้งเคียงฃ้าพเจ้าเป็นอันขาด; เพราะตั้งแต่ได้มาเป็นเมียฃ้าพเจ้า ก็ได้บำรุงบำเรอน้ำใจฃ้าพเจ้าเพียง ๑ เดือนเท่านั้น, ต่อแต่นั้นมาเอาแต่ความร้อนใจหรือรำคาญมาสู่ฃ้าพเจ้าอยู่เป็นเนืองนิตย์...”

เรื่องที่สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี ทรงตกพระโลหิตพระกุมารนั้นเป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง เพราะมีบันทึกปรากฏชัดเจนว่าแม้สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี ทรงแท้งแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ทะนุถนอมอย่างดี ถึงกับเสด็จไปรับ และทรงเข็นพระเก้าอี้เข็นที่สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี ประทับมาร่วมเสวยกับพระองค์ทุกวัน

เหตุการณ์ที่เป็นเหตุสำคัญในการลดพระอิสริยยศเห็นจะเป็นเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงซ้อมละครเรื่องพระร่วง ที่พระที่นั่งสโมสรเสวกมาตย์ ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี ครั้งนั้น ในบทบาทการแสดงต้องมีการแตะเนื้อต้องตัว เจรจาตอบโต้ และผลักไสกันระหว่างนายมั่น (แสดงโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) กับสาวใช้ของนางจันทร์ (แสดงโดยคุณเครือแก้ว อภัยวงศ์ (พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี)) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ผู้ร่วมแสดงทุกคนแสดงอย่างสมจริง ภาพนั้นคงไม่สบพระทัยของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี ผู้ประทับทอดพระเนตรการซ้อมอยู่ชั้นบน จึงเกิดเหตุการณ์ฮาป่าขึ้น คือสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี ทรงกระทืบพระบาท และโปรดให้ข้าหลวงของพระองค์ โห่ฮาและใช้เท้าตบพื้นพระที่นั่ง ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่เบื้องล่าง แสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ทรงพอพระทัย เป็นอันตะลึงงันกันไปทั้งโรงละคร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงหยุดการซ้อม และเสด็จขึ้นทันที

วันรุ่งขึ้นก็มีพระราชหัตถเลขาปลอบใจไปยังคุณเครือแก้ว อภัยวงศ์ ว่าไม่ได้ทำอะไรผิด จากนั้นก็พระราชทานนามใหม่ว่า “สุวัทนา” ขณะนั้น สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีมีพระชนมายุก็เพียง 21 พรรษา เป็นธรรมดาที่จะมีพระอาการหึงหวงต่างๆ และหลายครั้งก็ไม่ทรงสามารถเก็บกลั้นพระอารมณ์ได้ เช่น ทรงขอพระบรมราชานุญาตกลับพระนครก่อน ไม่ทรงร่วมขบวนเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับพร้อมกัน ทำให้ต้องตระเตรียมเรือพระที่นั่งอย่างฉุกละหุก ทั้งยังต้องต่อสะพานยาวลงไปให้ถึงเรือเพื่อไม่ต้องให้พระบาทสัมผัสน้ำ ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงขุ่นพระราชหฤทัยอยู่ไม่น้อย และอีกครั้งหนึ่ง ที่ท่าราชวรดิฐ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จลงจากเรือพระที่นั่ง มีพระราชกระแสรับสั่งให้คุณสุวัทนาซึ่งตามเสด็จมาในขบวน ลงกราบพระบาทสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินมารับเสด็จตามราชประเพณี พระองค์ก็ทรงชักพระบาทหลบและเบือนพระพักตร์ ก็เป็นเหตุให้พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงพอพระทัย เพราะทรงถือว่าเป็นการ“หักหน้า” พระองค์

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (79)

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ดำรงตำแหน่งสภานายิกา ของโรงพยาบาลที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและพระราชทานนามว่า วชิรพยาบาล

สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ทรงได้รับพระราชทานพระราชมรดกบางส่วนจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บ้านยาง ตำบลกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และพระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงพระราชทานพระตำหนักและที่ดินส่วนพระองค์สร้างเป็นโรงเรียนเพื่อให้กุลบุตร กุลธิดาชาวกำแพงแสนและประชาชนที่ต้องการให้บุตรหลานได้ศึกษาเล่าเรียน พร้อมยังพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนการศึกษา และที่ดินบางส่วนสร้างหน่วยงานราชการต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียง

พระกรณียกิจที่ยังทรงปฏิบัติอยู่เสมอ คือ การบำเพ็ญพระกุศล ประทานทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนในโรงเรียนราชินี โรงเรียนราชินีบูรณะ นอกจากนี้สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีก็ยังโปรดกีฬา พระองค์ทรงก่อตั้งทีมฟุตบอลหญิงทีมแรกของประเทศไทย และทรงฝึกนักกีฬาหญิงส่งไปแข่งขันต่างประเทศ เช่น นางสาวสงวน สุจริตกุล เป็นแชมป์แบดมินตันของประเทศไทย และได้แชมป์ที่มาเลเซีย เรียกได้ว่าทรงบุกเบิกการกีฬาสำหรับสตรี สำหรับการฝึกนักกีฬาของพระองค์นั้น ทรงควบคุมด้วยพระองค์เอง เช่น นางสาวสงวนกลับจากโรงเรียน ก็จะต้องวิ่งให้ครบตามจำนวนรอบที่กำหนด โดยสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา จะประทับทอดพระเนตรด้วย

สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี ทรงชุบเลี้ยงเด็กผู้ชายไว้หลายคน ส่วนใหญ่จะเป็นพระญาติในสกุลสุจริตกุล แต่มีคนหนึ่งที่เป็นเด็กกำพร้าทั้งบิดาและมารดา ได้ทรงชุบเลี้ยงมาแต่เด็กชายคนนั้นอายุ 3 ขวบ ตรัสเรียกว่า “ลูกบัว” มาจนตลอดพระชนม์ชีพ ต่อมาเด็กชายบัวได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว “ศจิเสวี”คำว่า “ศจิ” นั้นมาจากสร้อยพระนาม อินทรศักดิศจี ส่วนคำว่า “เสวี” นั้นผันมาจากคำว่า เสวก คือบริวาร รวมความแล้วจึงมีความหมายว่า เป็นข้าราชบริพารของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี (พระยศในขณะนั้น)

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ในปี 2468 สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ทรงย้ายไปประทับยังพระตำหนักสวนนกไม้ ในพระราชวังดุสิต ต่อมาจึงทรงย้ายไปประทับที่วังริมคลองภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ซึ่งเป็นบ้านของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี พระบิดานั่นเอง เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา เสด็จมาประทับเป็นการถาวรแล้ว พระบิดาจึงกั้นบริเวณที่ดินว่างเปล่าด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นที่กว้างขวาง ให้เป็นที่ประทับกับให้สร้างพระตำหนักสไตล์ยุโรปงดงาม เป็นพระตำหนักที่ประทับ โดยมีทางเชื่อมต่อกับตึกใหญ่ของท่านเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีและท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรีอีกด้วย สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ก็ประทับอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ได้ทรงออกงานอย่างเป็นทางการมากนัก ทรงมีสายสัมพันธ์กับพระบรมวงศานุวงศ์ต่างๆ ด้วยดี

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (79)

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อฝ่ายในยังประทับอยู่ภายในสวนดุสิตและสวนสุนันทา พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ซึ่งแม้จะเคยมีเรื่องในพระทัยกันมาก่อน แต่ภายหลังก็พระราชทานอภัยทาน ยังโปรดให้สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ทรงออกพระนามสมเด็จอินทร์ว่า “แม่อินทร์”

ครั้นสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ และพระชนนี เสด็จไปประทับที่อังกฤษ ก็ไม่ได้ทรงติดต่อกันอีกจนกระทั่งนิวัตประเทศไทยแล้วในปี 2502 สมเด็จเจ้าฟ้าฯ และพระนางเจ้าสุวัทนาฯ จะโปรดให้ผู้แทนพระองค์เชิญของขวัญมาพระราชทานแก่สมเด็จอินทร์ในวันคล้ายวันประสูติเป็นประจำทุกปี ซึ่งส่วนใหญ่คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ท่านผู้หญิงศรีนาถ สุริยะ ซึ่งสมเด็จอินทร์ก็ทรงต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีก็ทรงปฏิบัติเช่นเดียวกันในวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ และเสด็จพระนางฯ คือให้ผู้แทนพระองค์ ส่วนใหญ่เป็นคุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ เชิญของทูลพระขวัญไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสมเด็จเจ้าฟ้าฯ และเสด็จพระนางฯ ที่วังรื่นฤดี แต่ก็ไม่ได้เสด็จไปมาหาสู่กันด้วยพระองค์เอง

สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มาตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ปี 2505 พระชนมายุครบ 5 รอบ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์และทรงเจิม เมื่อพระชนมายุครบ 6 รอบ ในวันที่ 10 มิถุนายน ปี 2517 ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ในการบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชนมายุ ณ พระอุโบสถวัดราชาธิวาส และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์และทรงเจิม เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ปี 2517 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต

สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ประทับอยู่ ณ วังภาษีเจริญ มาโดยตลอด ท่ามกลางพระประยูรญาติอย่างอบอุ่นต่อมากว่า 40 ปี

ครั้นวันที่ 23 พฤษภาคม ปี 2518 ประชวรปวดพระนาภีมาก จึงได้เสด็จเข้ารับการถวายการรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราช โดยศาสตราจารย์นายแพทย์วีกิจ วีรานุวัตติ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และนายแพทย์บุญ วนาสิน เป็นคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา ครั้งนั้นได้ถวายพระโอสถแก้ปวดพระนาภีทางหลอดพระโลหิต พระอาการทุเลาลง และวันที่ 10 มิถุนายน อันเป็นวันคล้ายวันประสูติ ทรงพระกรุณาโปรดให้จัดพิธีบำเพ็ญพระกุศลที่โรงพยาบาลศิริราช และถวายภัตตาหารพระสงฆ์ที่วังประตูน้ำภาษีเจริญ ระหว่างเวลาที่ทรงรับการถวายการรักษาพระองค์อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น พระอาการประชวรมีแต่ทรงและทรุดลงเรื่อยมา มีพระอาการปวดพระนาภีมากขึ้น คณะแพทย์ต้องถวายพระโอสถแก้ปวดทางหลอดพระโลหิตถี่ขึ้น จนเมื่อมีพระอาการมาก ก็ต้องถวายพระโอสถทุก 3 ชั่วโมง

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เลขาธิการพระราชวัง และท่านผู้หญิงอนุรักษ์ราชมณเฑียร (พัว สุจริตกุล วัชโรทัย) เชิญแจกันดอกไม้พระราชทาน ไปเยี่ยมพระอาการประชวรสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีฯ นอกนั้นก็มีพระราชวงศ์ เสด็จไปทรงเยี่ยมและทรงลงพระนามในสมุดเยี่ยม ตลอดจนพระญาติ ข้าราชการ และข้าราชบริพารได้ผลัดเปลี่ยนกันไปเฝ้าและเยี่ยมอยู่ตลอดเวลา

ระหว่างที่ทรงประชวรอยู่นั้น เมื่อทรงทุเลาจากการประชวรก็ทรงมีปฏิสันถารกับผู้ที่มาเยี่ยมเยียนเป็นปกติ ยังทรงพระอนุสรณ์ถึงเรื่องตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์หรือธุรกิจส่วนพระองค์ได้เป็นอย่างดี เวลาประชวรมากก็รับสั่งให้ไปตามพระสุจริตสุดา และนายกวดหุ้มแพรมาเยี่ยมในวันอาทิตย์ 2 ครั้ง เมื่อมาถึงก็กรรแสงกับพระสุจริตสุดา ผู้เฝ้าและผู้ใกล้ชิดก็ต้องสะอื้นเพราะเห็นพระทัย พระองค์เคยทรงพระปรารภว่ายังไม่อยากสิ้นพระชนม์ ด้วยทรงเป็นห่วงพี่น้องและหลานๆ ซึ่งยังไม่สำเร็จการศึกษา ได้ประทานทุนเล่าเรียนแก่โรงเรียนนวลนรดิศไว้สำหรับหลานๆ สุจริตกุล แล้วสมเด็จฯ ทรงห่วงใยเรื่องการศึกษาของหลานๆ ทุกคน ได้ทรงพระกรุณาส่งหลานซึ่งเป็นลูกของพี่ชายและน้องชายแต่ละคนให้ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ และหลานๆ คนใดที่มีชื่อเสียงในทางกีฬาหรือทางราชการก็ตรัสเล่าประทานคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาและบรรดาผู้ที่มาเฝ้าเยี่ยมพระอาการประชวรฟังเสมอมา

ครั้นถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2518 คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพยาบาลเห็นพระอาการหนักมากสิ้นหวังแล้ว เพราะเสวยไม่ใคร่ได้ ต้องถวายน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิต คณะแพทย์แจ้งให้พระญาติทราบว่าพระอาการหมดหวังแล้วถึงสามครั้ง แต่พระอาการก็กลับทุเลาขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้คณะแพทย์ได้ลงความเห็นว่าเพราะพระทัยแข็ง ถ้าเป็นผู้อื่นก็สิ้นไปเสียนานแล้ว แต่ในที่สุด เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ปี 2518 เช้า 7 นาฬิกา พระอาการประชวรน่าวิตก นางพยาบาลได้ตามคณะแพทย์มาถวายการรักษา แม้คณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถ แต่มีอาการพระหทัยวายจึงสิ้นพระชนม์ในเวลา 7.55 นาฬิกา ณ โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร สิริพระชนมายุได้ 73 พรรษา 5 เดือน 20 วัน ยังความเศร้าสลดพระราชหฤทัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงพระญาติ ข้าราชบริพารในพระองค์ และผู้ที่เคยได้พึ่งพระบารมี

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระเกียรติยศสูงสุดแก่พระศพสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ทรงรับพระศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด เสด็จพระราชดำเนินไปยังศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง เมื่อเวลา 18.00 น พระราชทานน้ำสรงพระศพแล้ว เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงสู่พระลองขึ้นประดิษฐานเหนือชั้นแว่นฟ้าลายสลักประกอบพระโกศทองน้อย กางกั้นฉัตรตาดทอง 5 ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องประกอบพระเกียรติยศ เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ 20 รูปสดับปกรณ์ เสด็จพระราชดำเนินกลับ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้มีพระราชพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทั้งกลางวัน กลางคืน รับพระราชทานฉันเช้าวันละ 8 รูป ฉันเพลวันละ 4 รูป และไว้ทุกข์ในพระราชสำนักกำหนด 15 วัน

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม ปี 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เวลา 16.30 น. ทรงวางพวงมาลาที่หน้าพระโกศพระศพ ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตร กลองชนะ แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ พระสงฆ์ 20 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบแล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้วถวายอดิเรก สมเด็จพระราชาคณะถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนาจบ พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา แล้วทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์และทรงทอดผ้า พระสงฆ์ทั้งนั้นสดับปกรณ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรกแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทรงจุดธูปเทียนที่เตียงพระสวดพระอภิธรรม เสด็จพระราชดำเนินกลับ ทั้งยังได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ในโอกาสครบ 50 วัน พระศพ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เสด็จแทนพระองค์ในการบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานเนื่องในโอกาสครบ 100 วัน พระศพ ตามลำดับ นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปในการบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 2519 ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง และเสด็จไปในการพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ปี 2519 ในเช้าวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 2519 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล เสด็จไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในการเก็บพระอัฐิ เสร็จแล้วเจ้าพนักงานเชิญพระอัฐิขึ้นรถยนต์หลวงกลับสู่พระบรมมหาราชวัง สำหรับพระอัฐิของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา เมื่อรับพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว เชิญไปประดิษฐานไว้ ณ หอพระนาก ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระอังคาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญไปประดิษฐานไว้ ณ ศาลาสุจริตกุล วัดราชาธิวาส โดยเป็นไปตามพระบรมราชพินัยกรรมข้อที่ว่า “...ฃ้าพเจ้าขอสั่งเด็ดขาดไว้เสียแต่บัดนี้, ห้ามมิให้เอาพระอัษฐิสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีขึ้นมาตั้งเคียงฃ้าพเจ้าเป็นอันขาด...” ซึ่งในปัจจุบันไม่เคยมีงานใดเลยที่เชิญพระบรมอัฐิและพระอัฐิออกประดิษฐานพร้อมกัน

ข่าวล่าสุด

HAAB (หาบ) มัดรวม 9 รสชาติที่สุดแห่งปี ที่ชาวโซเชียลไม่อยากมูฟออน