แก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาใหม่
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ออกประกาศแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาใหม่ เป็นเรื่องสำคัญมากในกระบวนการยุติธรรม เกี่ยวกับผู้ที่มีอำนาจในการจะชี้ขาดเกี่ยวกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ โดยให้ผู้บัญชาการซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนเป็นผู้ชี้ขาด
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ออกประกาศแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาใหม่ เป็นเรื่องสำคัญมากในกระบวนการยุติธรรม เกี่ยวกับผู้ที่มีอำนาจในการจะชี้ขาดเกี่ยวกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ โดยให้ผู้บัญชาการซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนเป็นผู้ชี้ขาด
นอกจากนี้ มีการแก้ไขเกี่ยวกับเรื่องพนักงานสอบสวน กรณีมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาจากเดิมต้องส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ แต่กฎหมายใหม่ในกรณีผู้ต้องหาซึ่งถูกแจ้งข้อกล่าวหาได้หลบหนีไป พนักงานสอบสวนส่งเพียงสำนวนเท่านั้น นอกจากนี้ในกรณีพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ผู้ที่มีอำนาจในการทำความเห็นแย้ง กฎหมายใหม่ได้มีการแก้ไขในกรณีต่างจังหวัดให้ผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบเป็นผู้ทำความเห็นแย้งไปยังอัยการสูงสุดแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดหมดสิ้นไปนับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ
lรายละเอียดของประกาศมีดังนี้
ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อให้วิธีพิจารณาความอาญาในส่วนที่เกี่ยวกับการสอบสวนมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 21/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
“มาตรา 21/1 สำหรับการสอบสวนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ ในกรณีที่ไม่แน่ว่าพนักงานสอบสวนคนใดในจังหวัดเดียวกันหรือในกองบัญชาการเดียวกัน ควรเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ให้ผู้บัญชาการซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนนั้นเป็นผู้ชี้ขาด การรอคำสั่งชี้ขาด ไม่เป็นเหตุให้งดการสอบสวน”
ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ในกรณีที่เสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนพร้อมกับผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ เว้นแต่ผู้ต้องหานั้นถูกขังอยู่แล้ว หรือผู้ต้องหาซึ่งถูกแจ้งข้อหาได้หลบหนีไป”
ข้อ 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
“มาตรา 145/1 สำหรับการสอบสวนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ ในกรณีที่มีคำสั่งไม่ฟ้องและคำสั่งนั้นไม่ใช่คำสั่งของอัยการสูงสุด ถ้าในกรุงเทพมหานครให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำสั่งเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถ้าในจังหวัดอื่นให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำสั่งเสนอผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ แต่ทั้งนี้มิได้ตัดอำนาจพนักงานอัยการที่จะจัดการอย่างใดแก่ผู้ต้องหาดังบัญญัติไว้ในมาตรา 143
ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในกรุงเทพมหานคร หรือผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในจังหวัดอื่นแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการให้ส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาด แต่ถ้าคดีจะขาดอายุความ หรือมีเหตุอื่นอันจำเป็นจะต้องรีบฟ้อง ก็ให้ฟ้องคดีนั้นตามความเห็นของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการดังกล่าวแล้วแต่กรณีไปก่อน
บทบัญญัตินี้ในมาตรานี้ ให้นำมาบังคับในการที่พนักงานอัยการจะอุทธรณ์ ฎีกา หรือถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์และถอนฎีกาโดยอนุโลม”
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 21 ก.ค. 2557
lแนวปฏิบัติเกี่ยวกับสำนวนคดีอาญาที่พนักงานอัยการต้องถือปฏิบัติ
1.กรณีตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ข้อ 2 ได้ยกเลิกความในมาตรา 142 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ในกรณีที่เสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนพร้อมกับผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ เว้นแต่ผู้ต้องหานั้นถูกขังอยู่แล้ว หรือผู้ต้องหาซึ่งถูกแจ้งข้อหาได้หลบหนีไป”
กรณีดังกล่าวเป็นสำนวนคดีอาญาที่ปรากฏตัวผู้กระทำความผิด และพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบแล้วไม่ว่ากรณีใด หากพนักงานสอบสวนไม่ได้ส่งตัวผู้ต้องหามาเนื่องจากหลบหนีหรือผู้ต้องหาถูกขังอยู่ในอำนาจศาลที่จะรับฟ้อง ให้พนักงานอัยการรับสำนวนไว้พิจารณาดำเนินการต่อไป
2.กรณีตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ข้อ 3 ที่ให้เพิ่มเติมมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้พนักงานอัยการปฏิบัติต่อสำนวนการสอบสวนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนี้
2.1 สำนวนคดีอาญาที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกา ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 2557 เป็นต้นไป ให้เสนอสำนวนคดีอาญาให้ผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบพิจารณา
2.2 สำนวนคดีอาญาที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกา ที่เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนวันที่ 21 ก.ค. 2557 และผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่มีความเห็นหรือมีความเห็นหลังวันที่ 20 ก.ค. 2557 ให้สำนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องขอรับสำนวนคดีอาญาดังกล่าวกลับคืนมาเพื่อดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องตามมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา


