รบกันโลกขาดทุน แต่นักค้าสงคราม 'บางชาติ' รวยเละ
น้ำมันขึ้น ของแพง ชีวิตขัดสน อยู่อย่างหวาดกลัว ในช่วงเวลาแห่งสงคราม ยังมีบางคนได้กำไร และคนเหล่านั้นมีผลประโยชน์โดยตรงกับสงครามในฐานะผู้ลงทุนและผู้กำหนดนโยบายสงคราม
2 วันก่อนหาที่รัสเซียจะรุกรานยูเครน มาจอรี เทย์เลอร์ กรีน (Marjorie Taylor Greene) สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรฝ่ายขวาจัดและหมกมุ่นกับทฤษฎีสมคบคิด ลงทุนซื้อหุ้นของ Lockheed Martin บริษัทผลิตอาวุธชั้นนำของโลกเป็นเงิน 15,000 ดอลลาร์ (เกือบ 5 แสนบาท)
มันอาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้ แต่มันย้อนแย้งตรงที่กรีนเคยทวีตว่า "สงครามคือธุรกิจใหญ่ของผู้นำเรา ตั้งแต่ผู้ผลิตอุปกรณ์ป้องกันไปจนถึงการซื้อ/ขาย ไปจนถึงการตัดสินใจว่าสงครามและข่าวลือเรื่องสงครามส่งผลกระทบอย่างไรต่อตลาดต่างประเทศที่บริษัทของเราส่งออกงานในอเมริกาที่อิงกับพันธมิตรและศัตรู ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องธุรกิจ"
และกรีนบอกว่า "น่าเศร้าที่กลยุทธ์นโยบายต่างประเทศของอเมริกาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาทำเพื่อผลกำไรขององค์กรธุรกิจมากกว่า ไม่ใช่เพื่อความมั่นคงของอเมริกาและผลประโยชน์ของชาติของเราเอง"
ข้อความเหล่านี้จะทรงพลังมากหากมันออกมาจากนักการเมืองที่ไม่ได้ทำตัวคัดค้านไบเดนแบบหัวชนฝา และเพิ่งลงทุนไปหยกๆ กับบริษัทผลิตอาวุธที่ทำรายได้มหาศาลจากสงครามในยูเครน
และไม่ใช่แค่กรีนเท่านั้นที่ลงทุนกับธุรกิจอาวุธ แต่ยังมีสมาชิกคองเกรสอีกจำนวนหนึ่งด้วย ซ้ำร้ายคนเหล่านี้ยังมีอิทธิพลต่อนโยบายด้านความมั่นคงด้วย
เมื่อต้นเดือนมีนาคม สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฎหมายการอนุมัติการป้องกันประเทศมูลค่าเกือบ 770,000 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้กำลังรอการลงคะแนนเสียงของวุฒิสภาและรอลายเซ็นของไบเดน
นักการเมืองเหล่านี้มีหุ้นในธุรกิจ "ป้องกันประเทศ" ย่อมมีส่วนได้ส่วนเสียกับเงินเป็นล้านล้านแน่นอน
ยังไม่นับการสนับสนุนเป็นเม็ดเงินหลายล้านผ่านการล็อบบี้รัฐบาลสหรัฐรวมถึงรัฐสภาโดยบรรดาบริษัทด้านการป้องกันประเทศที่สมาชิกสภาคองเกรสลงทุน
ตามข้อมูลของ OpenSecrets (เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการเงินของแคมเปญและการล็อบบี้) ในปี 2020 บริษัท Lockheed Martin ใช้เงินไปเกือบ 14 ล้านเหรียญสหรัฐ General Dynamics ใช้เงินไปเกือบ 11 ล้านเหรียญสหรัฐ และ Honeywell ใช้เงินไปเกือบ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถามว่ามันคุ้มไหม? ลองดูหุ้นของธุรกิจผลิตอาวุธก็มีปฏิกิริยาในแง่บวกกับแนวโน้มสงคราม
ราคาหุ้นของ Lockheed Martin ขึ้นมา 16.42% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เอาจริงๆ มันขึ้นแบบพุ่งพรวดตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์หรือวันที่รัสเซียรุกรานยูเครน จาก 395.17 ดอลลาร์ต่อหุ้นในวันนั้นมันขึ้นมาเรื่อยๆ จนอยู่ที่ 456.61 ดอลลาร์เมื่อถึงวันที่ 1 มีนาคมและค้างอยู่ที่ 400 กว่าดอลลาร์นับแต่นั้น
หนึ่งในอาวุธถูกโฆษณาผ่านสื่อมากที่สุดในสงครามยูเครนคือ จรวดต่อต้านรถถัง Javelin สื่อตะวันตกรายแล้วรายเล่าช่วยพีอาร์ให้อาวุธชิ้นนี้ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามว่ามันคือตัวพิฆาตยานเกราะของรัสเซีย
แบบนี้ไม่ให้หุ้นของผู้ผลิต Javelin พุ่งไม่หยุดก็แปลกแล้ว
เช่นเดียวกับ Raytheon ผู้ผลิตขีปนาวุธ Stinger ที่ถูกยกเป็นพระเอกในสงครามยูเครนเช่นกันราคาหุ้นเพิ่ม 3.64% ในช่วง 1 เดือน BAE Systems บริษัทอาวุธของอังกฤษหุ้นขึ้นมา 20.30% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
นี่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แม้ไม่อยากจะโชว์ตัวเลขมากเพราะกลัวผู้อ่านจะเบื่อ แต่ต้องทำเพื่อให้เห็นว่าสงครามกำลังทำเงินเข้ากระเป๋าใคร
ถามว่าบริษัทเหล่านี้รู้หรือเปล่าว่าว่าตัวเองกำลังจะมี "บุญหล่นทับ" ตอบว่ารู้แน่นอน เพราะแนวโน้มสงครามคือความมั่งคั่งของพวกเขา
ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม Raytheon Technologies มีแถลงประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปีกลาย เกร็ก เฮเยส (Greg Hayes) ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทบอกว่า "เรากำลังเห็น ... โอกาสในการขายระหว่างประเทศ แค่ลองกลับไปดูเมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งเราเห็นโดรนโจมตีในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งได้โจมตีโรงงานอื่นๆ บางแห่งของพวกเขา และแน่นอน ความตึงเครียดในยุโรปตะวันออก ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ สิ่งเหล่านี้สร้างแรงกดดันต่อการใช้จ่ายด้านกลาโหมบางส่วนที่นั่น ...
ดังผมคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าเราจะได้เห็นผลกำไรบางอย่างจากมัน"
เราจะเห็นว่าหายนะในยุโรปนั้นมีใครได้กำไร และเอเชียควรจะสำเหนียกว่าตัวเองกำลังเป็นแหล่งเงินแหล่งทองให้ธุรกิจเหล่านี้ร่ำรวยต่อไป ดังที่เขากล่าวว่า "ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ สิ่งเหล่านี้สร้างแรงกดดันต่อการใช้จ่ายด้านกลาโหมบางส่วนที่นั่น" และยังเสริมว่า "ผมจะบอกว่าหากจะมีการสู้รบกัน ไม่ว่าจะเป็นในตะวันออกกลางหรือในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก"
การเอ่ยถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะขณะที่สหรัฐ "ปั่น" ยุโรปให้เกิดสงครามเสร็จแล้ว ก็หันมาปั่นเอเชียให้เกิดความวุ่นวายต่อไป ดังที่ที่ปรึกษาทำเนียบขาวฝ่ายกิจการอินโด-แปซิฟิกบอกว่า สหรัฐต้องเปิดแนวรอบสองด้านคือตะวันตกและตะวันออก และไบเดนจะคุยกับผู้นำอาเซียนด้วยตัวเองเพื่อสกัดการขยายตัวของอิทธิพลจีน
หากเอเชียและไทยไม่ตระหนักเรื่องนี้และหมกกมุ่นอยู่กับการเชียร์สงครามในยุโรป สักวันสงครามจะมาถึงเรา เราจะกลายเป็น "ปุ๋ย" ให้ธุรกิจสงครามเก็บดอกเก็บผลจากต้นไม้แห่งความตายกันต่อไป
บริษัทค้าอาวุธเหมือนกับธุรกิจขายโลงศพอยู่อย่างหนึ่ง ยิ่งคนตายมาก ยิ่งทำรายได้มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจเหล่านี้ยินดีกับความทุกข์ของมนุษย์ ธุรกิจเหล่านี้ "เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษยชาติ"
ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าธุรกิจค้าอาวุธเป็นความเลวร้าย ในฐานะมนุษย์เราไม่อาจหนีสงครามได้ แม้ว่าเราจะต้องการสันติภาพแค่ไหนก็ตาม
ตราบใดที่มนุษย์ยังกระหายในอำนาจ ตราบนั้นยังมีสงคราม นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่เรียกว่า "สันติภาพยาวนาน" (Long peace) นั้นไม่ได้หมายความปลอดสงคราม แต่เต็มไปด้วยสงครามยิบย่อยมากมาย ทั้งสงครามกลางเมืองและการรุกรานโดยอ้างความชอบธรรมต่างๆ นานา (ซึ่งชาติตะวันตกชอบทำ)
สงครามเล็กๆ และสงครามตัวแทนเหล่านี้คือสิ่งค้ำจุนสันติภาพในวงกว้าง เพราะทำให้ชาติมหาอำนาจไม่ต้องปะทะกันเอง ดังนั้นธุรกิจเกี่ยวกับสงครามจึงอยู่ได้เรื่อยมา
สิ่งนี้เรียกว่า "เศรษฐกิจสงครามถาวร" (Permanent war economy) นั่นคือทฤษฎีที่ระบุว่าแม้โลกจะสิ้นสงครามใหญ่ๆ แล้ว (เช่นสงครามโลกครั้งที่ 2 ) แต่สหรัฐจะยังอุดหนุนเศรษฐกิจสงครามหรือการใช้จ่ายอย่างหนักด้านอาวุธต่อไป เพื่อให้อุตสาหกรรมทหารช่วยพยุงเศรษฐกิจเอาไว้ เช่น รักษาอัตราการจ้างงาน
จึงไม่น่าแปลกใจว่าสหรัฐจะไปข้องแวะกับความขัดแย้งไม่หยุดหย่อน ก็เพื่อให้เศรษฐกิจสงครามดำรงอยู่ไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อไม่มีสงคราม งบประมาณกลาโหมก็ยังเพิ่มไม่หยุด (และสูงที่สุดในโลก) เพราะอะไร?
นั่นก็เพราะว่านักการเมืองได้เงินจาก "เศรษฐกิจสงครามถาวร"
นอกจากตัวอย่างตอนเปิดบทความแล้ว ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่ง
จากรายงานของ Center for Responsive Politics ในปี 2016 ระบุว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ 70 คนได้ลงนามในจดหมายถึงผู้นำของคณะอนุกรรมการจัดสรรงบประมาณป้องกันประเทศของสภาผู้แทนราษฎร (House Defense Appropriations) เพื่อเรียกร้องให้มีการสนับสนุนโครงการต่อไป (โครงการ F-35 ของ Lockheed ซึ่งประสบปัญหาก่อนหน้านั้น) ในรอบปี 2016 สมาชิกสภานิติบัญญัติ 70 คนนั้นได้รับเงินเกือบ 3.5 ล้านดอลลาร์จากภาคการป้องกัน” และ “โดยรวมแล้วได้รับเงินรวมเกือบ 578,000 ดอลลาร์จาก Lockheed Martin ในรอบปี 2016 คิดเป็นเกือบ 17% ของงบประมาณในการป้องกันประเทศ”
เงินมันดีขนาดนี้จะไม่ให้สนับสนุนสงครามกันได้อย่างไร?
หรือถ้าปั่นสงครามกันสำเร็จแล้วจะให้มันจบกันง่ายๆ จะได้หรือ?
น่าตลกที่ชาติตะวันตกประณามว่าปูตินหวังจะเป็นจักรพรรดิ (พระเจ้าซาร์องค์ใหม่) และต้องการฟื้นจักรวรรดิรัสเซีย แต่การกระทำของพวกตะวันตกเป็น "จักรวรรดินิยม" เสียยิ่งกว่า พวกนี้ครอบงำโลกแบบ "อีแอบ" ไม่ได้รุกรานเพื่อกินแผ่นดินเหมือนสมัยก่อน แต่จะครอบงำทางใดทางหนึ่งเนียนๆ เพื่อดูดทรัพากรและขายสินค้าของตน สินค้าที่ทำกำไรที่สุดอย่างหนึ่งคืออาวุธสงคราม
แต่สงครามยูเครน-รัสเซียมันไม่ใช่สงครามตัวแทนอีกแล้ว มันคือสงครามเต็มรูปแบบที่หากไม่ระวังอาจกลายเป็น "มหาสงคราม" ได้
สหรัฐอยู่ในภาวะมหาอำนาจเดี่ยวนานเกินไปหลังการสิ้นสุดสภาพโซเวียต ทำให้เกิดอาการ "ผยอง" ว่าตนเป็นผู้ควบคุมระเบียบโลก เมื่อรัสเซียแกร่งขึ้นมาอีกและจีนผงาดขึ้น แนวโน้มของ "ช้างสารชนกัน" ก็เกิดขึ้นอีก
ดังในแถลงประกาศผลประกอบการของ Lockheed Martin เมื่อเดือนมกราคม ความตอนหนึ่งบอกว่า "และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียในปัจจุบันนี้ และจีน มีการแข่งขันด้านอำนาจครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงการป้องกันประเทศและการคุกคามต่อการป้องกันประเทศ และประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาก็คือเมื่อสภาพแวดล้อมเหล่านั้นมีวิวัฒนาการขึ้นมา เราจะไม่ได้นั่งเฉยๆ แล้วดูมันเกิดขึ้น ดังนั้นผมจึงคงพูดเรื่องตัวเลขไม่ได้ แต่ผมคิดว่า และผมกังวลเป็นการส่วนตัวว่าภัยคุกคามกำลังคืบคลานเข้ามา และเราจำเป็นต้องตอบสนองต่อสิ่งนั้น"
ต่างจากโลงศพที่รอคนตายมาใช้โดยไม่ได้ไปทำให้ใครเขาตาย อาวุธสามารถป้องกันความตายก็ได้ เอาชีวิตคนแบบไร้เหตุผลก็ได้ ดังนั้นคนทำธุรกิจนี้ (หรือคนที่ลงทุนกับของพวกนี้) จึงต้องประคับประคองจิตใจตัวเองดีๆ ไม่ให้ยินดีกับผลกำไรของตนบนหายนะคนอื่น
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงมีสักกี่คนที่ "ใจพระ" ขนาดนั้น?
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น บริษัทอาวุธเหล่านี้แค่ทำหน้าที่ของตนเอง คือสร้างและขายอาวุธ คนที่ควรจะถูกตำหนิที่สุดคือ "นักการเมือง" ที่สามารถลดผลกำไรบริษัทอาวุธได้ สามารถช่วยเราไม่ต้องเสียภาษีเพื่ออุดหนุนน้ำมันได้ และทำให้บริษัทพลังงานหมดโอกาสสวาปามน้ำพักน้ำแรงจากพวกเรา
ทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยการเลี่ยงสงคราม ซึ่งไม่ใช่แค่รัสเซียเลี่ยง ยูเครนเลี่ยง จีนเบี่ยง แต่ยังรวมถึงพวก "นักปั่น" บางประเทศที่ไม่ได้ขัดแย้งกับใครโดยตรง แต่มายุ่มย่ามจนภูมิภาคต่างๆ เดือดร้อนกันไปหมด
ในขณะที่บทความนี้ถูกเขียนขึ้น รัสเซียเผยความคืบหน้าเจรจาสันติภาพเรื่องทำให้ยูเครนเป็นกลางคือปลอดจากการแทรกแซงของนาโตชาติตะวันตก เซเลนสกีบอกว่ายูเครนจะไม่ร่วมนาโตแล้ว และที่ปรึกษาของเขาบอกว่าอีกไม่นานจะได้ดีลสันติภาพ
ทันทีที่ผู้เขียนเห็นความเคลื่อนไหวเหล่านี้ เกิดความคิดขึ้นมาว่าสงครามที่จบไวๆ แบบนี้ต้องมีคนไม่ชอบแน่ แล้วก็จริง ขณะที่ดีลกำลังจะผ่านออกมา ชาติตะวันตกก็ยังคว่ำบาตรรัสเซียไม่หยุด
หรือบางครั้ง ตอนเช้ามีข่าวว่าการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนทำท่าจะไปได้สวย ตอนค่ำๆ จะมีข่าวจากฝั่งตะวันตกว่ารัสเซียไม่จริงใจ
การโดดเดี่ยวรัสเซียเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่การบีบให้รัสเซียจนมุมนั้น มองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล สงครามโลกครั้งที่แล้วเหตุส่วนหนึ่งมาจากการบีบอีกฝ่ายให้จนมุมมากเกินไปด้วย
เราต้องมองสถานการณ์ด้วยความจริงว่า มีผู้ได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งจริงๆ และมันมีกระบวนการเพื่อกอบโกยจากความขัดแย้งนั้น
ขณะที่เราติดตามข่าวสงคราม เราถูกสื่อชี้นำทัศนะของเราแบบไม่รู้ตัวให้สนับสนุนการใช้จ่ายเพื่อสงคราม เราจะตื่นตะลึงกับแสนยานุภาพของอาวุธ ถูกสื่อตะวันตกปั่นหัวให้กลัวสงครามเกิดเหตุ ทั้งหมดนี้คือการพีอาร์แบบแอบแฝงให้สนับสนุนนโยบายเพิ่มงบประมาณทางทหาร
กระบวนการข้างต้นจะได้ผลดีในโลกตะวันตกและพันธมิตรของสหรัฐ เราจะเห็นว่าบางประเทศประกาศเพิ่มงบประมาณทางทหารจนทุบสถิติ โดยที่มติมหาชนไม่ได้คัดค้านแถมยังคล้อยตาม
แน่นอนว่าความรู้สึกจะถูกคุกคามเป็นเงื่อนไขจำเป็นให้ต้องซื้ออาวุธเพิ่ม แต่ภัยคุกคามนี้เป็น "ความจริง" หรือ "สิ่งที่ปลุกปั่นขึ้นมา" นั้นต้องพิจารณาให้ดี
ผู้เขียนไม่ได้คัดค้านงบประมาณทหาร ไม่เสนอให้ลด ไม่ได้เสนอให้เพิ่ม แต่เสนอให้ตรึกตรองโดยใช้ความจริงไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึก ถ้ามันมีภัยคุกคามจริงๆ การซื้ออาวุธเพิ่มเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่แทนที่เราจะทุ่มเงินและกำลังคนไปกับนวัตกรรมเพื่อชีวิตที่ดีกว่าหลังจากผ่านการระบาดใหญ่มาหมาด เรากลับซื้ออาวุธมาฆ่าฟันกันเสียนี่
โดยที่คนส่วนใหญ่ของโลกไม่ได้ประโยชน์โพดผลอะไร ซ้ำยังจนลงเพราะเศรษฐกิจพัง ขณะเดียวกันก็ต้องจ่ายภาษีหนักขึ้นเพียงเพื่อให้นักการเมืองและ "ทหารอาชีพ" (รวมถึงทหารที่อยากเป็นนักการเมืองแบบทางลัด) ไปซื้ออาวุธและยังได้เงินทางอ้อมจากการล็อบบี้ของนักค้าสงครามอีก
สงครามนั้นทำให้คนรวยกระจุก แต่คนจนลงทั่วแผ่นดิน
ป.ล.
ความขัดแย้งอย่างกรณียูเครนสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการถ่วงดุลอำนาจ ยุโรปควรจะถอดเสื้อนาโตออกเสียก่อนเวลาคุยเรื่องความเป็นกลางของยูเครน เพราะอย่างไรเสียยุโรปตะวันตกก็ไม่สามารถยกแผ่นดินย้ายหนีจากรัสเซียได้ จะเป็นการดีหากทำให้ยูเครนเป็นแนวกันชนกับรัสเซีย
แต่ยุโรปหลงตามตามเกมส์สมาชิกนาโตที่อยู่ไกลออกไป อย่างพวกอมริกาเหนือละพวกประเทศหมู่เกาะในยุโรป (ประเทศกลุ่มแองโกลคือพวกพูดภาษาอังกฤษทั้งสิ้น) พวกนี้มักยุให้ยุโรปเผชิญหน้ากับรัสเซีย โยดที่ตัวเองอยู่ไกลไม่ต้องรับผลกระทบ แต่ทรัพย์ไปเต็มๆ
ผลคือเมื่อเกิดสงครามขึ้น พวกยุโรปตะวันออกกลายเป็นหมูให้ประเทศอุตสาหกรรมสงครามหากิน เราจะเห็นดีลหรือข้อเสนอซื้อขายเครื่องบินรบของบริษัทใหญ่สัญชาติอเมริกันหลายดีลในช่วงเดือนเดียว ยังไม่นับการเพิ่มงบประมาณมหาศาลของยุโรป พวกที่รับทรัพย์ก็คืออุตสาหกรรมทหารอเมริกันและบริษัทอาวุธในประเทศนั้นๆ
ส่วนชาวยุโรปตาดำๆ ก็ต้องจ่ายภาษีให้พวกพ่อค้าสงครามกันตามระเบียบ พร้อมกับทยกับของแพง น้ำมันแพง และสุขภาพจิตที่เสียไปเพราะภัยสงครามมาจ่อหน้าประตูบ้าน
ดังที่ปูตินกล่าวว่า "ผมอยากให้คนตะวันตกธรรมดาๆ ได้ยินผมเหมือนกัน คุณได้รับบอกกล่าวอย่างสม่ำเสมอว่าปัญหาในปัจจุบันของคุณเป็นผลมาจากการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ของรัสเซีย และคุณต้องจ่ายเงินจากกระเป๋าของคุณเองสำหรับการพยายามตอบโต้การคุกคามของรัสเซียที่ถูกกล่าวหานั้น ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหก"
ในสายตาหลายๆ คน ปูตินเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ฝ่ายตรงข้ามกับปูตินก็ไม่ใช่พ่อพระเช่นกัน
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน


