posttoday

พ่อเสี่ยเต็นท์รถรมควันตายยกครัว5ศพ คาใจการเสียชีวิตของลูกชาย

22 กุมภาพันธ์ 2563

พิษณุโลก-เจ้าหนี้นอกระบบหอบหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่เกี่ยวสาเหตุการเสียชีวิตของเสี่ยเต็นท์รถก่อเหตุรมควันตายยกครัว5ศพ

เมื่อวันที่ 22 ก.พ.63 เวลา 12.00น.กลุ่มเจ้าหนี้ของนายกัณตภณ แป้นวงศ์ หรือเฮียตี๋ เจ้าของเต็นท์รถยนต์มือสอง ซึ่งกินยาฆ่าตัวตายและใช้เตาอั้งโล่รมควันคนในครอบครัวเสียชีวิตรวม5ศพ จำนวนกว่า10 คนไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก เพื่อนำหลักฐานและเอกสารและข้อมูลเกี่ยวกับการกู้เงินของเฮียตี๋ไปลงบันทึกประจำวัน เพื่อเป็นหลักฐานและเพื่อความบริสุทธิ์ใจ

นายภิชาติ อมรรุ่งรัศมี ญาติพี่น้องของเฮียตี๋ กล่าวว่า ได้นำเงินมาลงทุนร่วมกับนายกัณตภณ และให้ยืมเงินมาโดยตลอด ซึ่งตนเองนั้นก็โน้ตเอาไว้และมีการคืนเงินเมื่อไร นอกจากนี้น้องสาวของเอง เฮียตี๋ เอง ก็ไปขอยืม มีหลักฐานการยืมเงินอีกกว่า 8 ล้านบาท ซึ่งตนเองและพร้อมเพื่อนที่เป็นเจ้าหนี้เฮียตี้อยากให้สบายใจจึงนำหลักฐานมาแสดงความบริสุทธิ์ใจกับเจ้าหน้าที่

 พ่อเสี่ยเต็นท์รถรมควันตายยกครัว5ศพ คาใจการเสียชีวิตของลูกชาย

ด้านนายธงชัย แป้นวงศ์ หรือ ตี๋สั้น อายุ 61 ปี พ่อของนายกัณตภณ ได้เดินทางมาให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน กล่าวว่า ยังไม่ปักใจเชื่อสาเหตุการตายของลูกชายและครอบครัว ซึ่งอาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลังถึงแม้ว่าจะแยกครอบครัวกันอยู่ แต่ก็ติดต่อกันตลอดเวลา คนภายนอกจะไม่รู้เรื่อง ลูกชายมีปัญหาเรื่องหนี้สิน 1-2 ล้าน ตนเองก็หยิบยื่นให้ เพราะการทำธุรกิจก็ต้องมีเงินหมุนเวียนเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะมาบอกว่าลูกชายติดสิ้นนับสิน 10 ล้านบาทไม่เชื่อแต่อย่างใด อีกทั้งสาเหตุการตายก็ไม่ชัดเจน จะต้องมีการผ่าพิสูจน์จากแพทย์นิติเวช

ขณะที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนได้เรียกสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้วจำนวน 3 ปาก ซึ่งก็ได้ข้อมูลมามากพอสมควร ว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิตนั้นไปกู้เงินจากธนาคารใดบ้าง ส่วนเงินกู้นอกระบบก็เป็นกลุ่มของเพื่อนฝูงที่รู้จักกันจำนวนรวมถึงมากกว่า 10 ล้านบาท มีการเสียดอกเบี้ยต่อเดือนถึงหลักแสน จึงอาจจะทำให้หมุนเงินทางธุรกิจหลายอย่างที่เพิ่งลงทุนไปไม่ทัน อาทิ เต็นท์รถยนต์มือสอง สถานตรวจสภาพรถเอกชน ร้านกาแฟ ธุรกิจส่งน้ำแข็ง เป็นต้น จึงมุ่งไปที่ประเด็นการฆ่าตัวตายจากปัญหาหนี้สิน

ส่วนผลชันสูตรของแพทย์ระบุว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้งหมดสูดดมสารพิษเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มาก อีกทั้งในห้องที่เกิดเหตุมีการนำเอาถุงพลาสติกปิดช่องระบายอากาศเอาไว้ เพื่อมิให้ก๊าซคาร์บอนไดซ์ออคไซด์ จากเตาอั้งโล่ ออกไปด้านนอกได้ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เสียชีวิตตามธรรมชาติทั่วไปแผ่นหลังจะมีเลือดตกสีดำคล้ำ แต่ถ้ามีสารพิษเข้าสู่ร่างกายที่แผ่นหลังจะมีเลือดตกเป็นสีแดงสด จึงสอดคล้องกับหลักฐานทางนิติเวชในที่เกิดเหตุ