posttoday

สธ.คาดพนักงานแกร็บมาประชุมในไทยแล้วพบติดไวรัส อาจรับเชื้อจากนอกประเทศ

10 มีนาคม 2563

สธ.เผยกรณีพนักงานแกร็บจากสิงคโปร์เดินทางมาประชุมในไทยแล้วพบติดเชื้อไวรัส อาจรับเชื้อจากนอกประเทศ เพราะไม่มีการสัมผัสผู้ป่วยในประเทศ ทำให้โอกาสติดเชื้อจากไทยมีน้อย

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคกล่าวถึงกรณีที่พนักงานบริษัท แกร็บ จากสิงคโปร์ เดินทางมาประชุมที่ประเทศไทยแล้วติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า เคสนี้เป็นพนักงานแกร็บเข้ามาประชุมในไทยระยะสั้นๆ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปช่วงระยะฟักตัวของโรคใน 14 วันแล้ว พบว่าได้เดินทางไปยัง 2 ประเทศ แต่จากการรายงานเบื้องต้นของทีมสอบสวนโรคเชื่อว่าโอกาสที่จะติดเชื้อจากประเทศไทยมีน้อย เพราะผู้ป่วยใช้เวลาอยู่ในเมืองไทยเพียงไม่นาน และไม่มีการสัมผัสกับผู้ป่วยในประเทศ

"ถ้าดูจากข้อมูลวันเริ่มป่วยถ้าย้อนไประยะฟักตัว 14 วันเขาอยู่ 2 ที่ โอกาสสูงมากที่เขาจะรับเชื้อจากนอกประเทศ เพราะระยะเวลาที่เขามาเมืองไทยสั้นมาก จากข้อมูลเบื้องต้นของทีมสอบสวนโรค คาดว่าจะติดเชื้อนอกประเทศไทย แต่เรายังไม่ด่วนสรุป ขอเวลาสอบทานข้อมูลก่อนว่าเขารับเชื้อมาจากไหน ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของเขาด้วย กิจกรรมของเขาในไทย ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วยเลย ดังนั้นจะรับเชื้อมาจากไหน ส่วนอีกประเทศ มีผู้ป่วยเหมือนกัน มีโอกาสมากกว่า" นพ.โสภณ กล่าว

แกร็บ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ว่า จากกรณีมีการรายงานข่าวจากสื่อมวลชนซึ่งระบุว่า มีพนักงานแกร็บซึ่งเป็นชาวต่างชาติป่วยเป็นโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โคว-19) นั้น แกร็บ ประเทศไทย ขอชี้แจงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ดังนี้ บริษัทฯ ขอแจ้งว่า มีพนักงานของบริษัท แกร็บ โฮลดิ้งส์ อิงค์ (ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ แกร็บ ประเทศไทย) ได้ติดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด- 19 จริง

ทั้งนี้ พนักงานคนดังกล่าวเป็นชาวต่างชาติซึ่งประจำอยู่ในสำนักงานใหญ่ ประเทศสิงคโปร์ โดยได้เข้ารับการตรวจในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ณ ประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2563 และพบว่ามีผลการตรวจเป็นบวก ซึ่งขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯ ได้ให้การดูแลและคุ้มครองพนักงานคนดังกล่าว รวมทั้งครอบครัวอย่างเต็มที่

พนักงานคนดังกล่าวปฏิบัติงานอยู่ในส่วนของสำนักงาน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับพาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่และ พาร์ทเนอร์ร้านค้าของแกร็บ โดยได้เดินทางมาติดต่องานในประเทศไทยในระหว่างวันที่ 5 – 6 มีนาคม 2563 ณ บริเวณชั้น 19 ของอาคารสมัชชาวาณิช 2 (หรืออาคาร UBC 2) ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ แกร็บ ประเทศไทย โดยมิได้แสดงอาการป่วยแต่อย่างใด และได้เดินทางกลับไปยังประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา

เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมโรคดังกล่าว บริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังเพื่อระบุตัวตนของบุคคลที่พนักงานคนดังกล่าวได้มีปฏิสัมพันธ์ด้วย โดยได้จัดให้พนักงาน แกร็บ ประเทศไทย ที่ได้ติดต่องานกับพนักงานคนดังกล่าวโดยตรงเข้ารับการตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอยู่ที่บ้านเป็นระยะเวลา 14 วัน

บริษัทฯ ได้ทำการปิดสำนักงานใหญ่ของ แกร็บ ประเทศไทย ณ อาคาร UBC 2 เป็นการชั่วคราวโดยทันที เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคเป็นเวลา 5 วัน (ระหว่างวันที่ 9 – 13 มีนาคม 2563) โดยในระหว่างนี้ พนักงาน แกร็บ ประเทศไทย ที่ประจำอยู่ในสำนักงานดังกล่าวจะปฏิบัติงานอยู่ที่บ้านตลอดทั้งสัปดาห์ ขณะที่ศูนย์บริการพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บ (หรือ Grab Driver Center) ณ อาคารธนภูมิ ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด โดยยังคงเปิดดำเนินการตามปกติ

แกร็บ ยังคงให้บริการต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันของเราตามปกติ ไม่ว่าจะเป็น บริการการเดินทาง บริการรับส่งอาหาร การจัดส่งสินค้าและพัสดุ ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนบริการทางการเงินต่าง ๆ

บริษัทฯ ขอยืนยันว่า เราให้ความสำคัญสูงสุดกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานทุกคน รวมถึงพาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่ พาร์ทเนอร์ร้านอาหาร ผู้ใช้บริการ ตลอดจนพันธมิตรและคู่ค้าทางธุรกิจ โดยนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ความกังวลการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย บริษัทฯ ได้ติดตามข่าวสารของสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและได้ประกาศใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในทุกสำนักงานและสาขาย่อยทั่วประเทศ

ทั้งยังได้ประสานความร่วมมือกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อยกระดับมาตรการการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การตรวจวัดอุณหภูมิของพนักงาน รวมถึงผู้ที่มาติดต่อในสำนักงานต่าง ๆ การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคพื้นที่ปฏิบัติงานเป็นประจำ การจัดให้มีเจลล้างมือเพื่อทำความสะอาดในสำนักงานต่าง ๆ การประกาศให้พนักงานที่เดินทางมาจากสำนักงานอื่น รวมทั้งผู้ที่มาติดต่อ ต้องกรอกแบบฟอร์มเพื่อแจ้งข้อมูลด้านสุขภาพและเปิดเผยประวัติการเดินทาง ก่อนเข้าไปในสำนักงานนั้น ๆ การแจกหน้ากากอนามัยให้กับพนักงาน รวมถึงพาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้กำหนดแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Plan) เพื่อประเมินสถานการณ์และความเสี่ยง พร้อมกำหนดแนวทางและขั้นตอนการรับมือเพื่อให้ธุรกิจของเรายังคงดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานทุกคน รวมถึงพาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่ พาร์ทเนอร์ร้านอาหาร ผู้ใช้บริการ ตลอดจนพันธมิตรและคู่ค้าทางธุรกิจ จะได้รับการดูแลและป้องกันเป็นอย่างดี