เฉลยที่มา ...”ราคายาโรงพยาบาลเอกชน” แพง?
ประเด็นสำคัญที่สังคมให้ความสนใจและจับตามองอยู่ในขณะนี้ คงไม่พ้นเรื่อง“การควบคุมราคายา”หลังมีเสียงสะท้อนว่า ทำไม?ยาและเวชภัณฑ์ใน “โรงพยาบาลเอกชน” จึงมีราคาสูงกว่า “โรงพยาบาลของรัฐ” หลายเท่า และหากนำไปเปรียบเทียบกับ“ร้านขายยา”ทั่วไป ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างมากขึ้น
ประเด็นสำคัญที่สังคมให้ความสนใจและจับตามองอยู่ในขณะนี้ คงไม่พ้นเรื่อง“การควบคุมราคายา”หลังมีเสียงสะท้อนว่า ทำไม?ยาและเวชภัณฑ์ใน “โรงพยาบาลเอกชน” จึงมีราคาสูงกว่า “โรงพยาบาลของรัฐ” หลายเท่า และหากนำไปเปรียบเทียบกับ“ร้านขายยา”ทั่วไป ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างมากขึ้น
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว สามารถอธิบายถึงขั้นตอนทั้งหมดซึ่งเป็นที่มาของ “ราคายาในโรงพยาบาลเอกชน” ที่ไม่อาจหยิบยกแค่ค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิตยามากำหนดกรอบราคาได้
โดยภายใต้การลงมือเขียนใบสั่งยาจากแพทย์ผู้รักษาจนยานั้นเดินทางถึงมือผู้ป่วย โครงสร้างต้นทุนราคายาของโรงพยาบาลเอกชนประกอบด้วยปัจจัยหลากหลาย เริ่มตั้งแต่ “ต้นทุนของผลิตภัณฑ์ยา” ที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่เน้นเลือกยาให้ประสิทธิภาพทางการรักษาดีเยี่ยม ซึ่งมักเป็นยามีสิทธิบัตรนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูง
ขณะเดียวกันก็มี “ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน” ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการเลือกยาที่ต้องทดสอบถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของยาก่อนนำเข้ามาใช้ในโรงพยาบาล การจ้างแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถสั่งยาไม่ให้เกิดผลกระทบข้างเคียงต่อผู้ป่วย เภสัชกรที่มีประสบการณ์ บุคลากรเวชระเบียนที่ชำนาญงาน หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีระดับสูงที่มีความแม่นยำในการจ่ายยา เช่น ซอฟแวร์การบริหารจัดการยา บาร์โค้ดยา หรือหุ่นยนต์จ่ายยาSmart Dispensing Robotที่มูลค่านับสิบล้านบาท การดูแลสต็อกยาให้เพียงพอต่อการใช้ในทุกวัน พื้นที่จัดเก็บยาที่ต้องดูแลพิเศษในด้านอุณหภูมิและความชื้น รวมไปถึงการดูแลให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ฯลฯ
ซึ่งทุกขั้นตอนในกระบวนการดังกล่าว โรงพยาบาลเอกชนได้ทำ “ประกันความเสี่ยง” ที่อาจเกิดความผิดพลาดจากกระบวนการจ่ายยาให้คนไข้ โดยวงเงินประกันดังกล่าวมีมูลค่าไม่น้อย
ทั้งนี้ ที่ต้องเน้นกระบวนการด้วยความรัดกุม เพราะในต่างประเทศอย่างสหรัฐฯ มีการสำรวจแล้วว่าหากป้องกันความผิดพลาดจากการสั่งยาจะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ โดยในแต่ละปีสหรัฐฯ สามารถป้องกันผลข้างเคียงของยาที่ไม่พึงประสงค์ อันมาจากความผิดพลาดในการสั่งยา ได้ถึง 1.5 ล้านคน (Bates et al,1995)
เมื่อเทียบกับประเทศไทย จากจำนวนประชากรทั้งหมดในปัจจุบัน โดยกรมการปกครองระบุ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2557 ว่ามีอยู่กว่า 65 ล้านคน และคาดการณ์กันว่าราว 1 ใน 4 อาจได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดของกระบวนการจ่ายยา อาทิ เภสัชกรจ่ายยาไม่ครบ ขวดยาติดฉลากผิด แพทย์สั่งยาชนิดที่คนไข้มีอาการแพ้ยา หรือแพทย์คำนวณขนาดยาผิดพลาด ที่ล้วนนำความเสียหายมาสู่ผู้ป่วยตั้งแต่ในระดับเล็กน้อยอย่างการแพ้ยา ไปจนถึงความสูญเสียทำให้ร่างกายพิการ และมีอันตรายถึงชีวิต
จึงเป็นเรื่องน่ากังวลและอันตรายไม่น้อย หากต้องแก้ไขปัญหาราคายาโรงพยาบาลเอกชนแพง ด้วยการให้แพทย์ออกใบสั่งยาแล้วให้ผู้ป่วยไปซื้อยาจากร้านขายยาเอง เนื่องจากไม่สามารถการันตีความถูกต้อง คุณภาพ และผลข้างเคียงของยาได้ ซึ่งจะมีผลต่อความรับผิดชอบของแพทย์และโรงพยาบาลต่อผู้ป่วย ต่างกับกรณีรับยาในโรงพยาบาลตามแพทย์สั่งจ่าย
เรื่องของ “ยา” จึงเปรียบได้กับ “ราคาชีวิต” หน่วยงานรับผิดชอบที่ออกแบบระบบและผลักดันให้ผู้ป่วยต้องไปรับยานอกโรงพยาบาล จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบหากเกิดผลข้างเคียงจากยาที่ไร้ประสิทธิภาพ และหากผู้ป่วยไม่หายจากโรคหรือต้องสิ้นเปลืองเพิ่ม รวมถึงเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงจากการใช้ยานอกโรงพยาบาล ก็ควรมีหน่วยงานที่ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วย
ทั้งหมดนี้กลายเป็นที่มาของ “ต้นทุนทางตรงของระบบยา” ซึ่งมีมูลค่ากว่าร้อยละ30-50 ของต้นทุนตัวยา ที่โรงพยาบาลเอกชนหลายระดับต้องแบกรับ และเป็นสาเหตุหนึ่งของการกำหนดราคายา ที่มีอัตราแตกต่างกันของโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่ง ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงในการควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มากตามไปด้วย
ในขณะที่โรงพยาบาลรัฐได้รับการชดเชยงบประมาณต้นทุนยาจากภาษีของประชาชน ส่วนร้านขายยาทั่วไปดำเนินงานด้วยระบบที่ไม่ซับซ้อน มีความรับผิดชอบที่จำกัดเฉพาะ และใช้ต้นทุนไม่มากนัก
โดย สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
“โรงพยาบาลเอกชน”คุณค่าคู่สังคม…ที่ถูกมองข้าม
Advertorial


