สมาพันธ์ SME จี้รัฐแก้ 4 ปมใหญ่ ก่อนขยับเก็บ VAT ธุรกิจรายย่อย
แนวคิดเก็บ VAT จาก SME รายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านต่อปี เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจฐานราก ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เสนอรัฐเร่งจัดการทุนเทา–คอร์รัปชัน ก่อนขยายฐานภาษี
KEY
POINTS
- แนวคิดเก็บ VAT จาก SME รายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านต่อปี เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจฐานราก
- ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เสนอรัฐจัดลำดับความสำคัญ แก้ปัญหาทุนเทา–คอร์รัปชัน ก่อนขยายฐานภาษี
- ชี้ไม่ควรสร้างบรรยากาศตึงเครียดซ้ำเติมพิษเศรษฐกิจ ไทยโตรั้งท้ายกลุ่มประเทศอาเซียน
จากกรณีที่กระทรวงการคลัง เล็งเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
ล่าสุด นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ให้ความเห็นกับ “โพสต์ทูเดย์” ต่อเรื่องนี้ว่า แนวคิดในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ส่งผลกระทบทางตรงกับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SME) ที่มีสัดส่วนราวร้อยละ 85 ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ หรือ ราว 2.74 ล้านราย
มีการจ้างงานถึงร้อยละ 30 ของการจ้างงานภาคเอกชนทั้งประเทศ หรือราว 5.4 ล้านราย ซึ่งมีสัดส่วน GDP ร้อยละ 3 ของ GDP ทั้งประเทศ ขณะที่สัดส่วน GDP เอสเอ็มอี มีเพียงร้อยละ 35 ของ GDP ทั้งประเทศ หรือ ราว 6.48 ล้านล้านบาท (ปี 2567)
โครงสร้างเอสเอ็มอีหากแบ่งตามประเภท นิติบุคคล 875,000 ราย บุคคลธรรมดา 2.27 ล้านราย และวิสาหกิจชุมชน 81,000 ราย ตามฐานข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ซึ่งการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการจัดเก็บรายได้อันดับที่ 1 ของการจัดเก็บรายได้ทั้งหมดของประเทศไทย แต่มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานรากปัจจุบัน
โดยรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหาด้านการจัดเก็บรายได้เพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งต้องสร้างความมั่นใจเชื่อมั่นการบริหารจัดการภาครัฐให้กับเอสเอ็มอี ประชาชนในการใช้งบประมาณที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังเด็ดขาด
ดังนั้น จึงอยากเสนอเสียงสะท้อนจากเอสเอ็มอี คือ
1.การบังคับใช้กฎหมาย ปราบปรามธุรกิจทุนเทาทั้งในและต่างชาติอย่างเร่งด่วน
จะเห็นว่ากิจการนอมินีเข้าสู่การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม สินค้าหนีภาษี สินค้าไร้มาตรฐาน สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ มหกรรมศูนย์เหรียญทั้งการส่งเสริมการลงทุนโรงงานที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ (รับเหมาก่อสร้าง-จัดสรร)
ธุรกิจเกษตร (ล้ง-ซื้อสวน) การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและ SME GP ที่มีมหกรรมนอมินีเข้ามาใช้ประโยชน์มาตรการดังกล่าวร่วมด้วย
2. การปราบทุจริต คอร์รัปชั่นของภาครัฐ
ระบบเงินทอน เก็บส่วยรีดไถผู้ประกอบการ ประชาชน กระทบทั้งกิจการขนาดใหญ่ลงถึงระดับรายย่อย รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำอย่างไร หรือต้องรอให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบออกมาเรียกร้อง แฉพฤติกรรมหน่วยงาน หรือข้าราชการที่มีพฤติกรรมทุจริต รับรองสามารถนำเงินกลับเข้าประเทศได้หลายแสนล้านบาทอย่างแน่นอน
3.นโยบายที่เป็นผลลัพธ์รูปธรรม
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและเพิ่มกำลังซื้อ
- มาตรการลดต้นทุนให้เอสเอ็มอี ประชาชน ไฟฟ้า น้ำมัน (รวยกระจุกเป็นกลุ่ม จนกระจายทุกหย่อมหญ้า)
- มาตรการรองรับสงครามการค้าและภาษี
- มาตรการยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการรายย่อย เอสเอ็มอี แรงงานที่เป็นรูปธรรมแต่ละคลัสเตอร์ของรัฐบาล
- มาตรการแก้ไขหนี้อย่างเป็นระบบและดอกเบี้ยที่เป็นธรรมกับเอสเอ็มอีและประชาชน
4.โครงสร้างการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
ควรมีฐานข้อมูลและพิจารณาอย่างเป็นระบบที่มีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เพียงแต่รายย่อย หรือ คิดเป็นท่อนๆ บางกลุ่มเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงช่องว่างระบบการจัดเก็บภาษีทั้งระบบ และมีมาตรการสร้างความตระหนักรู้ภาษีอย่างถูกต้อง จูงใจและส่งเสริมเอสเอ็มอีเข้าระบบ
ให้สิทธิประโยชน์ร่วมกับการพัฒนาเพื่อการเปลี่ยนผ่านรองรับการเปลี่ยนแปลง อาทิ การจัดเก็บภาษีธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจัดเก็บภาษีธุรกิจรูปแบบเหมาจ่าย การปรับใช้ระบบ Blockchain ช่วยในการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรม เป็นต้น
ทั้งนี้นายแสงชัย เน้นย้ำว่า ประเทศไทยเราไม่ควรจะสร้างนโยบายผลักภาระและบรรยากาศตึงเครียดซ้ำเติมพิษเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะสภาพการณ์ความจริงทางเศรษฐกิจ ไทยเติบโตต่ำเกือบสุดท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน
ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบเป็นเรื่องยาก เอสเอ็มอีจำนวนมากต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยและหนี้สินจนไม่สามารถประคองธุรกิจต่อได้ หนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหนี้นอกระบบก็เบ่งบานเฟื่องฟู
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ คำถามคือ รัฐมีมาตรการกำกับอะไรที่สามารถดูแลเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบและยั่งยืน หรือคำตอบคือ “การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม” จากรายย่อย?


