ธุรกิจเรือสำราญบนแม่น้ำเจ้าพระยา วิสัยทัศน์ความยั่งยืนของผู้นำหญิงยุคใหม่
ชวนคุยวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนกับการทำธุรกิจบนแม่น้ำเจ้าพระยา กับคุณเอ๋-ภูวดี คุนผลิน กรรมการผู้จัดการ “เรือสำราญเจ้าพระยาครุยส์” ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหนึ่งในแบรนด์เรือสำราญชั้นนำของประเทศไทย
แม่น้ำเจ้าพระยา ไม่เพียงเป็นสายน้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยมายาวนาน แต่ยังกลายเป็นเวทีสำคัญของธุรกิจเรือสำราญที่ผสานความงามของกรุงเทพฯ เข้ากับบริการระดับพรีเมียม โดยเฉพาะการล่องเรือดินเนอร์ยามค่ำคืนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ
หนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของธุรกิจนี้คือ คุณเอ๋-ภูวดี คุนผลิน กรรมการผู้จัดการแห่ง “เรือสำราญเจ้าพระยาครุยส์” (Chaophraya Cruise) ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหนึ่งในแบรนด์เรือสำราญชั้นนำของประเทศไทย ที่ให้บริการอย่างประณีตงดงาม ผสานวัฒนธรรมไทยและความเป็นมืออาชีพในระดับสากล
ปัจจุบันมีเรือที่ให้บริการคือ “เดอะ แกรนด์ เจ้าพระยาครุยส์” สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 500 คน ด้วยขนาดเรือกว้าง 10 เมตร ยาว 50 เมตร บริการอาหารค่ำแบบบุฟเฟต์นานาชาติและอาหารไทยระดับพรีเมียม
คุณภูวดีเล่าว่า เริ่มต้นธุรกิจโดยมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการท่องเที่ยวทางน้ำให้ก้าวสู่มาตรฐานสากล และจากการเดินทางท่องเที่ยวในหลายประเทศ พบความน่าตื่นตาตื่นใจของแม่น้ำสายต่างๆ และพบว่าแม่น้ำเจ้าพระยาของไทยเราก็มีความงดงามไม่แพ้กัน และด้วยแนวคิดที่ว่า “เรือไม่ใช่แค่พาหนะ แต่คือประสบการณ์” เรือของเจ้าพระยาครุยส์จึงได้รับการออกแบบให้สะท้อนความเป็นไทยที่มีความร่วมสมัย ทั้งการตกแต่ง เครื่องแต่งกายพนักงาน อาหาร และเสียงดนตรี พร้อมบริการที่เป็นมิตรและอบอุ่น
“ธุรกิจเรือสำราญ ไม่ได้แข่งแค่ราคา แต่คือการท้าทายตัวเองให้ข้ามผ่านจุดเดิม” - ภูวดี คุนผลิน
“ธุรกิจเรือสำราญบนแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่แค่การให้บริการอาหารบนเรือ แต่คือการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และในขณะเดียวกัน เราก็ต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อม และข้ามผ่านความท้าทายใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา”
สำหรับคุณเอ๋ การทำธุรกิจเรือสำราญในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่การแข่งขันด้านราคา แต่คือการค้นหาทางใหม่ให้แตกต่าง สร้างประสบการณ์เฉพาะตัว และ “ข้ามผ่าน” ความท้าทายใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง
“หลายคนคิดว่าธุรกิจนี้แค่ตั้งราคาแข่งกัน แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่ยากกว่านั้นคือ เราต้องหากลุ่มเป้าหมายใหม่ให้เจอ” คุณเอ๋เล่าอย่างตรงไปตรงมา
ความอิ่มตัวของตลาดกำลังบีบให้ผู้ประกอบการต้องกลับมาทบทวนแนวคิดของธุรกิจ ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษากำไร แต่เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างแท้จริง การแข่งขันด้านราคาจึงไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป แต่กลายเป็นคำถามใหม่ว่า
"เราจะหาลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ต้องการประสบการณ์พรีเมียมจริง ๆ ได้อย่างไร?"
เพราะในสถานการณ์ปัจจุบัน เรือดินเนอร์แทบทุกลำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้บริการกลุ่มลูกค้าระดับเดียวกัน ทำให้ตลาด หรือ “เค้กก้อนเดิม” ถูกแบ่งออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการเติบโตเชิงคุณภาพที่แท้จริง ความท้าทายสำคัญจึงไม่ใช่แค่การรักษาตลาดเดิม แต่คือการ “สร้างตลาดใหม่” ด้วยแนวคิดที่แตกต่าง
สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่การล่องเรือ
ไม่ใช่แค่ไอเดียธรรมดา ๆ ที่ผุดขึ้นมา คุณเอ๋เคยวางแผนสร้าง “เรือชาบูลำแรกของแม่น้ำเจ้าพระยา” โดยร่วมกับร้านชาบูชื่อดังในห้าง เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่แก่ลูกค้า แม้สุดท้ายจะต้องล้มเลิกเพราะข้อจำกัดเชิงเทคนิค เช่น ระบบปลั๊กไฟ หม้อร้อน และความปลอดภัย แต่ไอเดียนี้สะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจเรือสำราญกำลังเข้าสู่ยุคที่ไม่สามารถยืนอยู่กับที่ได้อีกต่อไป
“ตอนโควิด ทุกคนซัฟเฟอร์กันหมด เราก็คิดจะลุยเต็มที่ วางแผนหมดแล้วทั้งจุดวางหม้อ จุดเสียบปลั๊ก ดีไซน์โต๊ะ จนถึงการคุยกับพาร์ทเนอร์ แต่มันมีอุปสรรคเยอะมาก เช่น ระบบไฟ หม้อร้อน ปลั๊กไฟ สุดท้ายเราก็ต้องถอยในที่สุด”
แม้ไอเดียนั้นจะไม่ได้ไปต่อ แต่ก็เป็นตัวอย่างของความตั้งใจจริงในการ “หาทางใหม่” ให้กับธุรกิจ เพราะการสร้างความแตกต่างคือความจำเป็น และการออกแบบประสบการณ์เฉพาะ เช่น ดินเนอร์แบบ fine dining ถ่ายรูปได้ทุกมุม หรือการจับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น คู่รัก กลุ่มเพื่อน กลุ่มบริษัท ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการตลาดใหม่
เบื้องหลังแสงไฟ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจมองข้าม
แม้ภาพของเรือสำราญจะดูสวยงาม แต่เบื้องหลังกลับมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เริ่มถูกจับตามองมากขึ้น หนึ่งในประเด็นหลักคือการจัดการ "น้ำเสีย" และ "ขยะจากเรือ"
กรณีอื้อฉาวในต้นปี 2568 มาจากคลิปวิดีโอที่เผยให้เห็นพนักงานเรือภัตตาคารลำหนึ่งทิ้งขยะลงแม่น้ำเจ้าพระยา กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการเรียกร้องให้ภาครัฐและผู้ประกอบการทบทวนมาตรการสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
ปัจจุบัน กรมเจ้าท่าได้มีแนวทางกำหนดให้เรือที่ให้บริการในแม่น้ำเจ้าพระยาต้องติดตั้ง ถังบำบัดน้ำเสีย (sewage treatment tank) เพื่อไม่ให้ของเสียไหลลงสู่แม่น้ำโดยตรง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบล่าสุด มีเรือสำราญจำนวนน้อยกว่าครึ่งที่ติดตั้งระบบถังบำบัดน้ำเสียตามมาตรฐาน ขณะที่ผู้ประกอบการบางรายยังใช้วิธีปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำโดยตรง สร้างความเสื่อมโทรมให้กับระบบนิเวศของแม่น้ำและภูมิทัศน์
คุณเอ๋เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ใส่ใจเรื่องนี้ เธอยืนยันว่าเรือของเจ้าพระยาครุยส์ได้ติดตั้งถังบำบัดน้ำเสียอย่างครบถ้วน และมีระบบจัดการขยะที่เข้มงวด พร้อมอบรมพนักงานเรื่องจริยธรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
“เราทําธุรกิจนี้มากว่า 20 ปีแล้ว ตั้งแต่ยุคแรกๆ ที่เริ่มมีเรือสำราญบนแม่น้ำเจ้าพระยา เอ๋เชื่อว่าในยุคของพวกเราเป็นยุคที่ทุกคนรักแม่น้ำมากๆ กันทุกคน”
ธุรกิจเรือสำราญต้องยั่งยืนทั้งในใจลูกค้าและระบบนิเวศ
หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ตลาดเรือดินเนอร์เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง มีเรือใหม่ทยอยเปิดให้บริการหลายลำ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็เริ่มให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีคุณภาพ ความปลอดภัย และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ จะเป็นผู้ที่อยู่รอดในระยะยาว ไม่ใช่แค่ในแง่ของรายได้ แต่รวมถึง "คุณค่า" ที่สร้างให้กับสังคมและแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย
คุณเอ๋กล่าวว่า อีกเรื่องที่สำคัญและไม่ใช่ทุกเจ้าจะมีก็คือ การมีท่าเรือเป็นของตัวเอง ด้วยความที่ทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้เรือสำราญเดอะ แกรนด์เจ้าพระยาครุยส์ มีท่าเรือขึ้น-ลงของตัวเองซึ้งมีความสำคัญมากๆ ต่อการขนย้ายสิ่งของเครื่องใช้รวมถึงขยะต่างๆ ออกจากเรือได้โดยสะดวกและไม่สร้างปัญหาให้กับแม่น้ำ มันหมายความว่า พวกเขามีที่ทางในการจัดการลำเลียงของเสียต่างๆ ออกจากเรือออกทุกวัน โดยไม่ทิ้งภาระให้แม่น้ำ แตกต่างจากเรือที่ไม่มีท่าเป็นของตัวเอง คุณเอ๋ย้ำว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
อนาคตของธุรกิจเรือดินเนอร์ การเติบโตอย่างยั่งยืน
ข้อมูลจากแหล่งธุรกิจชี้ว่า ธุรกิจเรือดินเนอร์มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3-5% ต่อปี และมีแนวโน้มที่ดีในหมู่นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ที่นักท่องเที่ยวมองหาประสบการณ์เฉพาะตัวมากขึ้น เช่น การล่องเรือชมวิวพร้อมอาหารฟิวชันและดนตรีสด
แต่การเติบโตนี้ต้องมาพร้อมความยั่งยืน หากไม่สามารถจัดการสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม ธุรกิจที่ดูหรูหราอาจกลายเป็นผู้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติอันสำคัญของประเทศ และส่งผลถึงธุรกิจบนแม่น้ำในที่สุด
“คำถามของเราตอนนี้คือ กลุ่มลูกค้าที่ต้องการบริการแบบพรีเมียมจริง ๆ มีอยู่จริงไหม? แล้วเราจะเข้าถึงเขายังไง?”
คุณเอ๋ตั้งคำถามนี้กับตัวเองและทีมงานอยู่ตลอด เธอเชื่อว่ามีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ต้องการมากกว่าการล่องเรือกินบุฟเฟต์แบบเร่งรีบ แต่ยังหาแบรนด์ที่ตอบโจทย์ไม่ได้
“บางคนอยากแต่งตัวสวย ๆ ไปดินเนอร์ แต่พอขึ้นเรือกลับต้องไปยืนต่อคิวตักอาหาร ไม่ได้รู้สึกพิเศษ เราอยากทำให้ประสบการณ์บนเรือมันเป็นอะไรที่ ‘ใช่’ สำหรับคนแบบนั้น”
ทบทวนตัวตน ก้าวสู่บทใหม่ของธุรกิจ
ขณะนี้ ทีมงานของเจ้าพระยาครุยส์กำลังอยู่ในช่วง brainstorm และ rebrand ครั้งใหญ่ พวกเขากำลังระดมความคิดเพื่อออกแบบเรือรุ่นใหม่ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์หรูหรา มีสไตล์ และยั่งยืนไปด้วยกัน
“เรากำลังมองหาเรือที่สะท้อนตัวตนของลูกค้าจริง ๆ แบบที่เขาอยากจะถ่ายรูป อยากแชร์ อยากบอกต่อ ไม่ใช่แค่ขึ้นมาทานอาหารแล้วจบไป”
ธุรกิจเรือสำราญในแม่น้ำเจ้าพระยากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ความสำเร็จในอนาคตจะไม่ได้วัดจากจำนวนผู้โดยสารต่อเที่ยวเท่านั้น แต่ต้องวัดจากความสามารถในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วย
และคุณเอ๋ – ภูวดี คุนผลิน คือหนึ่งในนักธุรกิจที่กล้าเดินหน้าข้ามผ่านความท้าทายนี้ พร้อมพิสูจน์ว่า เรือสำราญไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหมด แต่สามารถมี "ตัวตน" ที่โดดเด่น และ "คุณค่า" ที่มากกว่าความสวยงามภายนอกได้อย่างแท้จริง
“เราทำธุรกิจแบบเอาใจตัวเองนิดนึง คือถ้าเราเป็นลูกค้า เราอยากได้แบบไหน แล้วเราก็เอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นจริง ๆ”
ในท้ายที่สุด คุณเอ๋เชื่อว่า ความสำเร็จของธุรกิจเรือสำราญไม่ได้อยู่ที่ตัวเรือ แต่อยู่ที่ “ความเข้าใจมนุษย์” และความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง...
โปรโมชันพิเศษ! สำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC
บัตรผู้ใหญ่ : เพียงท่านละ 970 บาท (จากปกติ 1,800 บาท)
บัตรเด็ก : ท่านละ 850 บาท (จากปกติ 1,100 บาท)
ระยะเวลาการจอง : 1 ม.ค. 68 - 30 ก.ย. 68
(อาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ให้บริการ กรุณาตรวจสอบก่อนใช้บริการ)
เช็ครายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.ktc.co.th/promotion/travel/attractions/chaophraya-cruise-ticket


