posttoday

จ่อออกมาตรการ ‘เปิดดูของได้ก่อนโอนเงิน’ กรณีซื้อสินค้าจ่ายปลายทาง

06 มิถุนายน 2567

สคบ.และ ETDA เผยจ่อออกมาตรการ เปิดดูของได้ก่อน สำหรับกรณีซื้อสินค้าจ่ายปลายทาง เพื่อป้องกันมิจฉาชีพออนไลน์หลอกขายสินค้า พร้อมเปิดเผยมาตรการเยียวยาผู้บริโภคออนไลน์ที่ประชาชนต้องเรียนรู้เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันตัวเอง

วันนี้ ( 6 มิ.ย.2567 ) นายณัชภัทร ขาวแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ และติดตามสอดส่องการประกอบธุรกิจ กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เปิดเผยในเวทีงานสรุปผลการเสวนาเกี่ยวกับการส่งเสริมการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ จัดขึ้นโดยกองทุนพัฒนาส่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ว่า

เร็วๆ นี้จะมีการออกประกาศให้ธุรกิจบริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมหลักฐานการรับเงิน  โดยเนื้อหาคือ ประชาชนจะสามารถเปิดดูสินค้าได้ก่อน แม้จะมีการจ่ายเงินตามปกติ แต่เงินดังกล่าวจะอยู่กับทางบริษัทขนส่ง  เมื่อพ้น 5 วันแล้วบริษัทขนส่งจึงค่อยมีการโอนเงินให้กับทางร้านค้า ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงการทำประชาพิจารณ์

โดยประกาศดังกล่าวเกิดจากการร่วมมือกับ ETDA และพบปัญหาการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่เป็นการจ่ายปลายทาง โดยพบว่าสินค้าไม่ตรงปกหรือไม่ได้สั่งแล้วส่งไป ขนส่งบางค่ายทำสัญญากับต้นทางที่อาจเป็นมิจฉาชีพ โอนเงินวันต่อวัน ซึ่งรวดเร็ว ตามไม่ทัน จึงร่วมกันหามาตรการกำกับดูแลร่วมกันเพื่อดูแลการเก็บเงินปลายทาง และการซื้อสินค้าปลายทาง โดยจะออกประกาศที่ควบคุมหลักฐานการรับเงิน

นายณัชภัทรให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในรายละเอียดของประกาศดังกล่าว จะเป็นการระบุชื่อของผู้ส่ง สถานที่ไปรับของ เพราะแต่เดิมไม่รู้ว่าขนส่งไปรับมาจากไหน ชื่อที่อยู่ผู้รับโอนเงิน กำหนดมาตรฐานตัวอักษร ระบุหมายเลขพัสดุชัดเจน และขนส่งมีหน้าที่เก็บเงินไว้ 5 วัน จนกว่าผู้บริโภคเปิดดูสินค้าว่าได้สั่งซื้อและของตรงปก จนนำไปสู่การแจ้งและการคืนเงิน หากไม่ทำตามประกาศ  อาจมีโทษปรับ 200,000 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งจะพบว่าประกาศดังกล่าวได้มอบสิทธิผู้บริโภคในการเปิดดูของก่อน แต่มีเหตุและเงื่อนไขในการเปิด

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาทางสคบ. ยังดำเนินมาตรการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น โดยมีการให้อำนาจเต็มแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องที่ดำเนินการปรับผู้ประกอบการและสามารถตรวจสอบได้

ทั้งนี้ สคบ. ได้เปิดเผยสถิติการร้องทุกข์จากการซื้อขายออนไลน์ตามแพลตฟอร์มที่ขึ้นทะเบียนกับสคบ. โดยเรียงตามจำนวนการร้องเรียนและความยากง่ายของการจัดการ พบว่าแพลตฟอร์มที่มีการร้องเรียนกับ สคบ. ในปี 2566 พบ

1. Facebook  2,045 เคส

2. Instagram 328 เคส

3. Line 146 เคส

4. Website 204 เคส

5. Twitter 109 เคส

6. TikTok 100 เคส

โดยนายณัชภัทร ระบุว่า หากเป็นแพลตฟอร์มที่มีการจดทะเบียนกับทาง สคบ. ผู้บริโภคจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายภายใต้พรบ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 เช่น สามารถใช้สิทธิคืนสินค้า 7 วันและคืนเงินภายใน 15 วัน มิเช่นนั้นเจอเบี้ยปรับ

ด้าน ประภารัตน์ ไชยยศ หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA  เปิดเผยว่าสายด่วนของ ETDA คือ Call center เบอร์ 1212 ในปีที่ผ่านมามีการรับร้องเรียนปัญหากว่า 6 หมื่นเคส ซึ่งแม้ปัญหาออนไลน์จะมีมูลค่าต่อรายไม่เยอะ แต่เมื่อรวมๆ แล้วเกิดขึ้นหลายเคส และบางกรณีจะเป็นการหลอกลวงจากผู้ให้บริการเดียวกัน จึงได้ออกมาตรการแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง

โดยเมื่อปีที่แล้ว ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำกับธุรกิจแพลตฟอร์มและคุ้มครองผู้ใช้บริการ โดยพรก.ฉบับนี้จะทำให้ผู้บริการต้องแจ้งว่าให้บริการอะไร มีผู้ให้บริการเท่าไหร่และต้องมีหน่วยงานในประเทศไทยเพื่อใช้สื่อสาร ซึ่งผู้บริโภคต้องได้รับการเยียวยา ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นธรรม

นอกจากนี้ในปัจจุบัน ETDA อยู่ในระหว่างพัฒนาแนวทางการกำกับโฆษณาบนแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อคัดกรองเนื้อหาที่บิดเบือนความจริง ซึ่งอยู่ระหว่างการทำมาตรการเพื่อการดูแล รวมไปถึงการกำกับผู้ให้บริการดิจิทัล ID เพื่อยืนยันตัวตนผู้ใช้งานผ่านดิจิทัล แปลว่าในอนาคตในการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านออนไลน์ต้องมีการยืนยันตัวตน เพื่อลดปัญหามิจฉาชีพ

ซึ่งนอกจากการบังคับใช้ทางกฎหมาย การร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ก็จะต้องดำเนินต่อไป โดย ETDA ได้มีช่องทางการรายงานตรงกรณีที่ประชาชนพบปัญหาในการใช้ช่องทางออนไลน์อย่าง Facebook หรือ TikTok เป็นต้น

ข่าวล่าสุด

ชี้จุด วิ่งฟรี มอเตอร์เวย์ M6 บางปะอิน - นครราชสีมา ต้องไปจุดไหน?