รวมทุกเรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ “รถไฟไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน”
เมกะโปรเจกต์มูลค่า 2.24 แสนล้าน “รถไฟไฮสปีด 3 สนามบิน” ไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐานความเร็วสูงเชื่อมการเดินทาง 3 สนามบิน แต่คือการกระจายความเจริญออกจากเมืองหลวง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
KEY
POINTS
- โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ไม่เพียงเป็น “โครงการ PPP Net Cost ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย” ด้วยมูลค่ารวมสูงถึง 224,544 ล้านบาท แต่ยังเป็นกรณีศึกษาสำคัญด้านการร่วมลงทุนรัฐ–เอกชน (PPP)
- เป็นเส้นทางที่เชื่อม “Entertainment Complex” ในอนาคต
- อนาคตไม่ใช่แค่ “รถไฟ” แต่คือเมืองใหม่ตลอดแนวเส้นทาง
- ใช้เส้นทาง “บางซื่อ–ดอนเมือง” ร่วมกับรถไฟไทย–จีน
รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) 9 สถานี เป็นหนึ่งในโครงการเรือธงของ EEC ที่มีเป้าหมายยกระดับระบบคมนาคมของประเทศไทยให้เทียบเท่าประเทศชั้นนำในภูมิภาค ทว่าเบื้องหลังโครงการเมกะโปรเจกต์นี้ยังมีหลายเรื่องที่ประชาชนยังไม่รู้ ทั้งที่ซ่อนอยู่ในมิติธุรกิจ การวางยุทธศาสตร์ และบทบาทในอนาคตของประเทศ
โพสต์ทูเดย์ได้เรียบเรียงเพื่อสร้างความกระจ่างเป็นประเด็นต่อไปนี้
1. "รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน" เป็นโครงการ PPP ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในไทย
โครงการนี้มีมูลค่าร่วมทุนกว่า 224,544 ล้านบาท ถือเป็นโครงการรัฐร่วมทุน (PPP Net Cost) ที่ ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย รัฐลงทุน 117,227 ล้านบาท โดยเป็นการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานบางส่วน และค่าเวนคืนที่ดิน
เอกชนลงทุน: 107,317 ล้านบาท โดยเอกชนต้องรับความเสี่ยงทั้งหมด ทั้งด้านเงินลงทุน รายได้ และการดำเนินการตลอดอายุสัมปทาน 50 ปี
ทำความรู้จักกับ PPP - การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ Public Private Partnerships (PPP)
PPP เป็นการร่วมกันพัฒนาและให้บริการสาธารณะของภาครัฐและเอกชน ซึ่งบริษัทเอกชนอาจเป็นผู้ให้บริการ บริหารระบบ หรือก่อสร้างงานโยธาก็ได้ โดยทั้งสองฝ่ายจะมีการจัดสรรผลประโยชน์และความเสี่ยงร่วมกัน ทั้งที่เป็นรูปแบบ (1) Net Cost คือเอกชนได้รับสิทธิ์ในการจัดเก็บรายได้ และจัดสรรผลตอบแทนบางส่วนให้แก่ภาครัฐตามข้อตกลง ซึ่งเอกชนจะต้องรับความเสี่ยงจากผลดำเนินงานทั้งหมด หรือ (2) Gross Cost ภาครัฐจัดเก็บรายได้ทั้งหมด และชดเชยค่าตอบแทนให้บริษัทเอกชนตามค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงาน (Full Operating Cost) แบบคงที่ (Fixed Payments)
2. ดีเลย์นานถึง 5 ปี เหตุผลมากกว่าแค่โควิด
แม้โครงการจะเซ็นสัญญาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2562 กับกลุ่มกิจการร่วมค้าซีพี (CPH) แต่ในความเป็นจริง โครงการกลับล่าช้ากว่าแผนเดิมไปถึง 5 ปี โดยไม่ได้มีแค่ผลกระทบจากโควิด-19 เท่านั้น
เพราะปัจจัยที่ทำให้โครงการสะดุดยาวหลักๆ มาจาก โครงสร้างทางการเงินของเอกชนที่เข้มงวดมาก ทำให้ไม่สามารถหาเงินกู้ตามแผนได้ทันเวลา และเรื่องของการเจรจาสิทธิในที่ดินและทรัพย์สินของการรถไฟฯ ที่ใช้เวลานานเกินคาด ในขณะที่ภาครัฐต้องกลับมาแก้ไขสัญญาหลายรอบ รวมถึงการปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินและการรับประกันรายได้
ล่าสุด (มิถุนายน 2568) ทางรัฐบาลและกลุ่ม CPH เห็นพ้องใน "ร่างสัญญาใหม่" โดยคาดว่าจะลงนามอย่างเป็นทางการภายในกรกฎาคม 2568 และเริ่มเข้าพื้นที่ก่อสร้างทันที
3. โครงสร้างการเงินใหม่ รัฐอุ้มมากขึ้นแต่ควบคุมเข้มขึ้น
สาระสำคัญของการแก้ไขสัญญาครั้งนี้ คือ “รัฐจะจ่ายเงินตามความคืบหน้างาน” ไม่ใช่รอจนเปิดบริการถึงจ่ายทั้งหมด โดยเอกชนต้องวางหลักประกันใหม่กว่า 1.6 แสนล้านบาท มีการแบ่งการส่งมอบกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินให้รัฐตามความคืบหน้า มีการปรับเงื่อนไขค่าสิทธิบริหาร ARL (แอร์พอร์ต เรล ลิงก์) และการค้ำประกันผลตอบแทนที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากขึ้น และรวมไปถึงการเพิ่มมาตรการรองรับเหตุสุดวิสัย เช่น โรคระบาด
4. ใช้เส้นทาง “บางซื่อ–ดอนเมือง” ร่วมกับรถไฟไทย–จีน
คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่า รถไฟไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน จะใช้ “เส้นทางร่วม” กับรถไฟความเร็วสูงไทย–จีนในบางช่วง โดยเฉพาะช่วง บางซื่อ–ดอนเมือง ซึ่งหมายความว่า
- ต้องวางแผนโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน
- ต้องแบ่งเวลาเดินรถ (Time Slot) อย่างแม่นยำ เพื่อป้องกันความขัดแย้ง และเพื่อให้การดำเนินงานของทั้งสองโครงการเป็นไปอย่างราบรื่น
- ผู้บริหารโครงการทั้งสองฝั่งต้องร่วมมือกันในระดับนโยบาย
5. เป็นเส้นทางที่เชื่อม “Entertainment Complex” ในอนาคต
แม้ยังไม่มีการประกาศตำแหน่งที่ตั้งของ “Thailand Entertainment Complex” อย่างเป็นทางการ แต่มีการวิเคราะห์ว่าโครงการไฮสปีดนี้จะเป็น โครงข่ายสนับสนุนหลักของคอมเพล็กซ์ดังกล่าว
โดยเฉพาะหากเลือกพื้นที่ อู่ตะเภา – พัทยา – ชลบุรี ซึ่งอยู่ในแนวเส้นทางรถไฟ ก็จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้จากสนามบินทั้ง 3 แห่งภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง
6. อนาคตไม่ใช่แค่ “รถไฟ” แต่คือเมืองใหม่ทั้งแนวเส้นทาง
รัฐเปิดทางให้เอกชนสามารถพัฒนา “พื้นที่รอบสถานี” (Transit-Oriented Development: TOD) เพื่อสร้างเมืองใหม่, คอมมูนิตี้, คอนโด, มอลล์, ศูนย์ธุรกิจ ฯลฯ
สถานีหลักอย่าง สถานีศรีราชา / ชลบุรี / อู่ตะเภา มีศักยภาพถูกวางตัวเป็น Smart City ในอนาคต
- มักกะสัน จะกลายเป็น CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ
- อู่ตะเภา คือเมืองการบินภาคตะวันออก หรือ Eastern Aviation hub และ logistics hub)
ภาครัฐคาดหวังว่าโครงการนี้จะดึงการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี โลจิสติกส์ และบริการสุขภาพเข้ามาในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
7. ข้อเท็จจริงที่หลายคนเข้าใจผิด
ไม่ใช่เส้นทางใหม่ทั้งหมด เส้นทางบางส่วน “ใช้โครงสร้างทางร่วม” หรือปรับปรุงจากทางเดิม
ไม่ใช่แค่เพื่อการเดินทางระหว่างสนามบิน เพราะจุดสำคัญคือ การกระจายความเจริญออกจากเมืองหลวง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
8. เป็น “บทเรียนราคาแพง” ในโครงการ PPP ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ไม่เพียงเป็น “โครงการ PPP Net Cost ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย” ด้วยมูลค่ารวมสูงถึง 224,544 ล้านบาท แต่ยังเป็นกรณีศึกษาสำคัญด้านการร่วมลงทุนรัฐ–เอกชน (PPP)
ประเด็นที่น่าสนใจ:
- เป็นโครงการ PPP ในรูปแบบ Net Cost คือ รัฐจ่ายเงินสนับสนุนเท่าที่จำเป็น แต่รายได้หลักเป็นของเอกชน และเอกชนต้องจ่ายผลตอบแทนให้รัฐในรูปแบบส่วนแบ่งรายได้และทรัพย์สิน
- เมื่อครบระยะเวลา 50 ปี ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของรัฐ
- ถือเป็นโมเดลที่ใช้ทดสอบ “สมดุลของความเสี่ยง” ระหว่างภาครัฐและเอกชนในเมกะโปรเจกต์สาธารณูปโภคยุคใหม่
บทเรียนสำคัญ:
- การออกแบบ TOR และสัญญา PPP ต้องมีความยืดหยุ่นพอรับมือกับปัจจัยไม่คาดคิด เช่น โควิด-19
- ต้องมีกลไกร่วมติดตามความเสี่ยงและความโปร่งใส
- การสื่อสารต่อสาธารณะต้องมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเข้าใจและยอมรับในระยะยาว
นี่คือโครงการที่ท้าทายที่สุดในเชิงการเงิน โครงสร้างกฎหมาย และความร่วมมือภาครัฐ–เอกชนที่ไทยเคยทำมา และจะกลายเป็นต้นแบบสำหรับโครงการอื่น ๆ ในอนาคต
9. เอกชนต้องคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้รัฐ
หลังสิ้นสุดสัมปทาน 50 ปี กลุ่ม CPH ต้องโอนทั้งระบบราง, ขบวนรถ, สถานี, และอสังหาฯ รอบสถานี ให้แก่รัฐโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ถือเป็นดีลที่รัฐ “ได้สินทรัพย์คืน” แบบครบวงจร พร้อมรายได้ตลอดอายุโครงการ
10. มีระบบอัจฉริยะควบคุมความปลอดภัยสูงเทียบเท่าญี่ปุ่น
ระบบอาณัติสัญญาณและควบคุมการเดินรถ เป็นแบบอัตโนมัติ (Automatic Train Control – ATC)
ใช้เทคโนโลยีร่วมกับประเทศญี่ปุ่นในบางโมดูล โดยมีการ training คนไทยเพื่อให้สามารถควบคุมและซ่อมบำรุงในระยะยาวได้เอง
อ้างอิงข้อมูล: https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/115525
EEC/UTA


