ถอดรหัส "ชางงี" เปลี่ยนสนามบินสู่เครื่องจักรเศรษฐกิจครบวงจร
สนามบินอันดับ 1 ของโลก 'ชางงี' กำลังทำอะไร? เมื่อคลื่นนักเดินทางเอเชียถาโถม สิงคโปร์ทุ่มสร้าง 'เมกะเทอร์มินอล' สู้ศึกการบินเดือด!
ท่ามกลางการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และแนวโน้มการเติบโตที่ร้อนแรงสุดๆ ของภาคการเดินทางทางอากาศในเอเชีย
บรรดาสนามบินชั้นนำในภูมิภาคต่างก็กำลังเร่งยกเครื่องครั้งใหญ่เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในตลาดนี้
รายงานจากสำนักข่าว CNBC ระบุว่า หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือความเคลื่อนไหวของ สนามบินชางงี สิงคโปร์ สนามบินที่ครองแชมป์อันดับ 1 ของโลกหลายสมัย
ซึ่งล่าสุดเพิ่งได้รับรางวัล "สนามบินที่ดีที่สุดในโลก" จาก Skytrax ประจำปี 2025 เป็นครั้งที่ 13 ติดต่อกัน
เมื่อวันพุธ สนามบินชางงีได้เริ่มโครงการก่อสร้าง "เมกะเทอร์มินอล" แห่งใหม่ล่าสุด นั่นคือ อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 (Terminal 5 - T5)
บนพื้นที่กว้างขวางถึง 1,080 เฮกตาร์ หรือเทียบเท่ากับการเพิ่มขนาดพื้นที่สนามบินเดิมขึ้นเกือบสองเท่า
นี่ไม่ใช่แค่การขยาย... แต่คือการยกระดับครั้งใหญ่!
เมื่อ T5 ก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในช่วงกลางทศวรรษ 2030 สนามบินชางงีจะมีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารได้สูงถึง 140 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันที่ 90 ล้านคนต่อปี
ลองนึกภาพดูว่าในปี 2024 ที่ผ่านมา แม้จะยังไม่เต็มศักยภาพ สนามบินชางงีก็รองรับผู้โดยสารไปแล้วกว่า 67.7 ล้านคน
การเพิ่มขีดความสามารถเป็น 140 ล้านคน จึงเป็นการเตรียมพร้อมรองรับดีมานด์ในอนาคตที่คาดว่าจะพุ่งทะยานอย่างมหาศาล
เอเชีย ตลาดการบินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
ข้อมูลน่าสนใจจาก Airport Council International (ACI) ระบุว่า สนามบินที่รองรับผู้โดยสารได้เกิน 100 ล้านคนต่อปี จะถูกจัดเป็น "สนามบินขนาดใหญ่พิเศษ" หรือ "เมกะแอร์พอร์ต"
และในบรรดา 10 แห่งทั่วโลก มีถึง 3 แห่งที่อยู่ในเอเชียแล้ว นั่นคือ ปักกิ่ง โตเกียว และเซี่ยงไฮ้
ACI ยังคาดการณ์แนวโน้มที่น่าตื่นเต้นว่า การเดินทางทางอากาศทั่วโลกจะเติบโตเกือบ 7% ในอีก 25 ปีข้างหน้า และ การเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นี่จึงเป็นเหตุผลที่สนามบินในเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางกำลังระดมทุนมหาศาลถึง 240 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็นเงินไทยหลายล้านล้านบาท!) ระหว่างปี 2025 ถึง 2035 เพื่อยกระดับและสร้างสนามบินใหม่
วิสัยทัศน์ของสิงคโปร์ สู่การเป็น 'ศูนย์กลางการบินแห่งอนาคต'
ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ได้เผยวิสัยทัศน์เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ว่า เพราะในระยะยาว การเดินทางทางอากาศมีแนวโน้มสูงขึ้น และการเติบโตส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในเอเชีย
ด้วยอาคาร T5 สนามบินชางงีตั้งเป้าที่จะขยายเครือข่ายเส้นทางการบินให้เชื่อมต่อกับ 200 เมืองทั่วโลก จากปัจจุบันที่มีอยู่ 170 เมือง
นายกรัฐมนตรีหว่องย้ำว่า การเชื่อมต่อนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อสิงคโปร์ เพราะชางงีคือประตูที่เชื่อมโยงประเทศเกาะเล็กๆ นี้เข้ากับโลก ดึงดูดผู้คน การค้า และการลงทุน
ซึ่งได้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสำคัญๆ เช่น การท่องเที่ยว การบินและอวกาศ และโลจิสติกส์ โดยปัจจุบันระบบนิเวศด้านการบินมีส่วนสนับสนุน GDP ของสิงคโปร์ถึง 5%
ศึกสนามบินเดือด! เพื่อนบ้านไม่น้อยหน้า เร่งยกเครื่องสู้
แต่สิงคโปร์ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะสนามบินอื่นๆ ในภูมิภาคก็ "เอาจริง" เช่นกัน การแข่งขันกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก
สนามบินในเอเชียต่างลงทุนอย่างมหาศาลในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ฮ่องกง เองก็ไม่น้อยหน้า สนามบินนานาชาติฮ่องกงได้เปิดใช้งานรันเวย์ที่ 3 ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
และกำลังขยายอาคารผู้โดยสาร 2 โดยมีเป้าหมายรองรับผู้โดยสาร 120 ล้านคน และสินค้า 10 ล้านตันต่อปีตั้งแต่ปี 2035
สนามบินสุวรรณภูมิของไทย ก็เพิ่งเปิดใช้งานรันเวย์ที่ 3 ในเดือนกันยายน 2024 ช่วยเพิ่มศักยภาพการรองรับเที่ยวบิน
หลังจากเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังใหม่ไปก่อนหน้านั้นหนึ่งปี และยังมีแผน "ขยายด้านตะวันออก" เพิ่มเติมภายในปี 2027
เกาหลีใต้ ก็มาแรง สนามบินนานาชาติอินชอนในกรุงโซล ได้เสร็จสิ้นการขยายเฟส 4 ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 106 ล้านคนต่อปี จากเดิม 77 ล้านคน และก้าวขึ้นเป็นสนามบินที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
ทำไมเอเชียถึงเนื้อหอม?
โทมัส เพลเลกริน จาก Deloitte เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อธิบายว่า หลังโควิด-19 เอเชียได้กลายเป็น "จุดศูนย์กลาง" ของการเติบโตด้านการเดินทางทางอากาศอย่างแท้จริง
เหตุผลสำคัญมาจาก การขยายตัวของชนชั้นกลาง ในเอเชีย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเดินทางท่องเที่ยวด้วยเครื่องบินเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้
รวมถึง อัตราการขยายตัวของเมืองที่สูง ซึ่งทำให้ผู้คนเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางอากาศได้ง่ายขึ้น
"ความต้องการผู้โดยสารในภูมิภาคคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 7.9% ในระยะสั้น และ 5.1% ในระยะยาว ซึ่งสูงที่สุดในโลกและสูงกว่าตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างเห็นได้ชัด"
นั่นหมายความว่า ภายในปี 2043 สนามบินในเอเชียจะต้องรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า ซึ่งสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ และนี่คือเหตุผลที่การลงทุนครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้น
T5 ไม่ใช่แค่สนามบิน... แต่คือหัวใจการท่องเที่ยวของสิงคโปร์
โครงการ T5 ยังเป็นส่วนสำคัญของแผนการใหญ่ของสิงคโปร์ที่จะ เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว จากสถิติสูงสุดที่ 29.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2024 ให้พุ่งไปถึง 47-50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 15 ปีข้างหน้า
กลยุทธ์ "Tourism 2040" ของสิงคโปร์ มุ่งเน้นเป็นพิเศษไปที่การดึงดูด นักธุรกิจและผู้โดยสารต่อเครื่อง โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวกลุ่มธุรกิจ (MICE) ขึ้นถึงสามเท่า
เมลิสซา โอว ซีอีโอของคณะกรรมการการท่องเที่ยวสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้โดยสารต่อเครื่องและเปลี่ยนเครื่องคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสามของผู้โดยสารทั้งหมดที่สนามบินชางงี ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของกลุ่มนี้
ตอกย้ำตำแหน่ง 'ศูนย์กลางการบินอันดับ 1'
เพลเลกรินจาก Deloitte มองว่า การลงทุนในอาคาร T5 และแผนพัฒนา Changi East ในภาพรวม (รวมถึงรันเวย์ที่ 3 และเขตอุตสาหกรรม) จะช่วยให้สิงคโปร์สามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดและเติบโตในฐานะศูนย์กลางการบินระดับโลก เพิ่มการเชื่อมต่อ และตอกย้ำสถานะของชางงีในฐานะสนามบินที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
ผลกระทบทั้งหมดเหล่านี้เมื่อรวมกัน ไม่เพียงแค่ในเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังมอบ Soft Power ที่ยิ่งใหญ่ให้กับสิงคโปร์ในเวทีระหว่างประเทศ นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ของสิงคโปร์ เพื่อรับมือกับอนาคตการเดินทางทางอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง


