ทองคำพุ่งทำสถิติใหม่ ทะลุ 4,400 ดอลลาร์ครั้งแรก จากคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย
ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุระดับ 4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
ราคาทองคำตลาด Spot ปรับเพิ่มขึ้น 1.7% มาอยู่ที่ 4,411.01 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 08.22 น. ตามเวลามาตรฐานกรีนิช หรือ 15.22 น. ตามเวลาในประเทศไทย หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,420.01 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงก่อนหน้า
ส่วนสัญญาทองคำล่วงหน้าสหรัฐสำหรับการส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ปรับเพิ่มขึ้น 1.3% มาอยู่ที่ 4,444.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นับตั้งแต่ต้นปี ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นแล้วราว 67% ทำลายสถิติหลายครั้ง และทะลุระดับ 3,000 และ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก โดยมีแนวโน้มทำผลตอบแทนรายปีสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2522 ขณะที่ราคาเงินพุ่งขึ้นถึง 138% ตั้งแต่ต้นปี สูงกว่าทองคำอย่างมาก จากแรงลงทุนที่แข็งแกร่งและข้อจำกัดด้านอุปทานที่ยังคงอยู่
นายแมตต์ ซิมป์สัน นักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัทสโตนเอ็กซ์ ระบุว่า โดยปกติเดือนธันวาคมมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกสำหรับทองคำและเงิน ซึ่งปัจจัยด้านฤดูกาลยังคงสนับสนุนราคา อย่างไรก็ดี เมื่อทองคำปรับเพิ่มขึ้นแล้วราว 4% ในเดือนนี้ และใกล้เข้าสู่ช่วงสิ้นปี นักลงทุนฝั่งขาขึ้นอาจต้องระมัดระวัง เนื่องจากปริมาณการซื้อขายมีแนวโน้มลดลง และความเสี่ยงของแรงขายทำกำไรอาจเพิ่มสูงขึ้น
ด้านนักวิเคราะห์เชิงเทคนิคของสำนักข่าวรอยเตอร์ส นายหวัง เต่า ระบุว่า ราคาทองคำตลาด Spot อาจขยายการปรับขึ้นไปทดสอบระดับ 4,427 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากสามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ระดับ 4,375 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้
ทองคำซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการค้า การเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงความคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงในปีหน้า ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงยังช่วยสนับสนุนราคา โดยทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อจากต่างประเทศ
ในขณะนี้ ตลาดยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐสองครั้งในปีหน้า แม้เฟดจะส่งสัญญาณใช้ความระมัดระวังในการดำเนินนโยบาย ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย เช่น ทองคำ มักได้รับประโยชน์ในสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ
นายซิมป์สันยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดได้เริ่มคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดสองครั้งในปี 2569 โดยหากตลาดแรงงานสหรัฐชะลอตัวลงเร็วขึ้น และเฟดมีท่าทีผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้อีกในระยะต่อไป.