“Rooted Currents” ถอดบทเรียน "เมืองอยู่ร่วมกับน้ำ" ได้จริง ด้วยรากวัฒนธรรมเดิม
จากผังเมืองยืดหยุ่นสู่แนวคิด “อยู่ร่วมกับน้ำ” ผลงานนักศึกษามจธ.คว้ารางวัลเวทีโลก ชี้ทางออกเมืองเอเชีย รับมือภัยพิบัติด้วยวัฒนธรรม มนุษย์ และธรรมชาติ
KEY
POINTS
- "Rooted Currents" นำเสนอแนวคิดหลักในการเปลี่ยนมุมมองจากการ "ต่อสู้กับน้ำ" มาเป็นการ "อยู่ร่วมกับน้ำ" โดยปรับตัวตามธรรมชาติและใช้ภูมิปัญดาดั้งเดิมเป็นพื้นฐาน แทนการพึ่งพาวิศวกรรมขนาดใหญ่เพื่อควบคุมเพียงอย่างเดียว
- แสดงโมเดลการออกแบบที่บูรณาการวัฒนธรรม วิถีชีวิต และการจัดการน้ำเข้าด้วยกัน โดยรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิม ("ราก") ควบคู่ไปกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ("กระแสน้ำ") เช่น การออกแบบพื้นที่ชั้นล่างให้ทนทานต่อน้ำท่วมได้
- ชี้ว่าการนำไปใช้จริงในแต่ละพื้นที่ต้องเริ่มจากการรับฟังชุมชนและวิเคราะห์บริบทอย่างรอบด้าน ทั้งประวัติศาสตร์ สังคม และภูมิศาสตร์ เพื่อสร้างแนวทางแก้ปัญหาแบบองค์รวมที่เหมาะสมกับเมืองนั้นๆ
โครงการ “Rooted Currents” ของนักศึกษาสถาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดออกแบบนานาชาติ "Resilience City Asia" ที่นครกวางโจวซึ่งโพสต์ทูเดย์ได้รายงานข่าวไปก่อนหน้านี้ (พระจอมเกล้าธนบุรี ชนะเวทีโลก “ผังเมืองยืดหยุ่น” ออกแบบเมือง “อยู่ร่วมกับน้ำ”)
เพราะความน่าสนใจอยู่ที่ปีนี้ทีมนักศึกษา มจธ.ได้รางวัลชนะเลิศจากที่ไม่เคยเฉียด จากแนวคิด "การปรับตัวและอยู่ร่วมกับน้ำ" แทนที่จะต่อสู้หรือควบคุมน้ำในบริบทของเมืองในเอเชียที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โพสต์ทูเดย์ Smart City เห็นว่าแนวคิดนี้คือสิ่งที่ "เมืองฉลาด" จริงๆ ควรจะเป็น เพราะเรื่องนี้อาจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนคิดไว้นานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่ามันจะปรากฎในความเป็นจริงได้อย่างไร น่าสนใจและน่าติดตามกันต่อว่า คนรุ่นใหม่และยุคต่อไปจะอยู่ร่วมกับน้ำได้อย่างไร ในยุคที่ภัยพิบัติพร้อมจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในมุมมองของนักออกแบบหรือ สถาปัตยกรรม
โพสต์ทูเดย์ได้นัดหมายสัมภาษณ์พิเศษกับทีมงานในโครงการ “Rooted Currents” ที่ประกอบด้วยกลุ่มนักศึกษาชั้นปีที่สี่ จำนวน 12 คน จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) – KMUTT ที่ประกอบด้วยนักศึกษานานาชาติในเอเชียได้แก่ Ms Mia Clarisse Ignacio จากฟิลิปปินส์ นายณัฏฐภพ วิลาวัณย์วจี นางสาวปราญชลี อัชฌาสุทธิคุณ นายภาณุรัสมิ์ วงศ์ตรี และ นางสาวภัณฑิรา อาจารีพิพัฒน์ พร้อมทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาในโครงการนี้คือ รศ.ดร.มาร์ติน ชอร์ค (Assoc.Prof. Dr. Martin Schoch) และ รศ. สุนารี ลาวัลยะวัฒน์ มาพูดคุยกันในประเด็นนี้
ปรัชญา "อยู่ร่วมกับน้ำ”
รศ. สุนารี ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของโครงการนี้ว่า เครือข่าย Resilience City Asia เป็นเครือข่ายความร่วมมือของมหาวิทยาลัย 40 แห่งจากประเทศต่างๆ ในเอเชีย แต่ละปีมหาวิทยาลัยเจ้าภาพจะกำหนดหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นของเมือง (urban resilience) เพื่อให้นักศึกษาออกแบบเป็นเวลาหนึ่งปี และนำเสนอผลงานในการแข่งขัน KMUTT ในฐานะสมาชิกของเครือข่ายนี้ก็เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยเน้นหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติจากน้ำที่มักเกิดขึ้นในเอเชีย เช่น น้ำท่วม ไต้ฝุ่น และแผ่นดินไหว
โครงการนี้มีจุดเริ่มต้นจากแนวคิดที่ว่า การพยายามควบคุมหรือต่อต้านน้ำเป็นเรื่องที่ยาก ซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนแนวทาง "อยู่ร่วมกับน้ำ" (living with water) เป็นมิตรต่อธรรมชาติมากกว่า สอดคล้องกับภูมิปัญญาดั้งเดิม (เช่น บ้านเรือนไทยหรือบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทีใต้ถุนสูง) และใช้ทรัพยากรน้อยกว่า โดยทั้งอาจารย์และนักศึกษาเชื่อว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่กว่าและการมองน้ำเป็นศัตรูจะนำไปสู่ปัญหาระยะยาว
โครงการ “Rooted Currents” และกรณีศึกษาที่กวางโจว
ทีมงานสังเกตเห็น 3 วิกฤตสำคัญบนเกาะแห่งหนึ่งในกวางโจว คือ สิ่งแวดล้อมที่เปราะบาง จากปัญหาน้ำท่วมและระดับน้ำทะเลสูง วัฒนธรรมดั้งเดิมที่กำลังเลือนหายจากการขยายตัวของเมือง และโครงสร้างประชากร เมื่อคนรุ่นใหม่ย้ายออกเหลือเพียงผู้สูงอายุ
แนวคิดชื่อ "Root & Currents" นี้สื่อถึง "รากฐาน" (วัฒนธรรมและคุณค่าดั้งเดิม) และ "กระแสน้ำ" (การเปลี่ยนแปลง) แนวคิดคือการเปลี่ยนพลังงานของการเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นพลังงานของการฟื้นฟูเมืองอย่างยั่งยืน โดยไม่สร้างตึกใหม่ แต่สร้างโมเดลที่อยู่ร่วมกับน้ำ วัฒนธรรม และวิถีชีวิต
โดยมีองค์ประกอบการออกแบบคือ
Sustain Living (การอยู่อาศัยที่ยั่งยืน) ผสมผสานฟาร์มเข้ากับโซลาร์เซลล์บนหลังคา เพื่อใช้พื้นที่เกษตรกรรมที่มีอยู่เดิม และสร้างพื้นที่สีเขียวบนอาคารเพื่อกักเก็บพลังงาน
Culture (วัฒนธรรม) สร้างบรรยากาศแบบดั้งเดิม เช่น การใช้คอร์ทยาร์ด, วัสดุท้องถิ่น (อิฐหลิงหนานสีดำ), โรงเรียน, ห้องสมุด และทางเดินกลางที่เป็นเส้นทางเชื่อมโยง
Water Management (การจัดการน้ำ) สร้างพื้นที่เรียนรู้เรื่องน้ำและระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อนำน้ำจากอาคารต่างๆ กลับมาใช้ใหม่
ในส่วนของการออกแบบที่อยู่อาศัย ชั้นหนึ่งของอาคารถูกออกแบบให้เป็น "พื้นที่เปียก" สำหรับกิจกรรมที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ หรือเป็นพื้นที่ที่อนุญาตให้น้ำท่วมได้ (เช่น ที่จอดรถ) โดยใช้วัสดุที่ทนทานต่อน้ำ พื้นที่อยู่อาศัยหลักจะเริ่มต้นตั้งแต่ชั้นสองเป็นต้นไป มีการปรับภูมิทัศน์ นำสวนขึ้นมาบนอาคาร เป็นต้น..
ความท้าทายและการนำไปปรับใช้ในประเทศไทย/เอเชีย
น้องๆ แชร์ความคิดเห็นร่วมกันในประเด็นนี้ โดยสื่อสารถึงประเด็นสำคัญข้อหนึ่งคือ "ความลืมเลือนของผู้คน" เพราะผู้คนมักจะตื่นเต้นกับภัยพิบัติเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น แล้วก็ลืมเลือนไป เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการสร้างความตระหนักรู้และบทเรียนอย่างต่อเนื่อง
ขาดการบูรณาการและมุมมองแบบองค์รวม การแก้ปัญหาแยกส่วน (เช่น สร้างกำแพงกั้นน้ำ) มักนำไปสู่ปัญหาอื่น การออกแบบต้องคำนึงถึงระบบและผลกระทบทั้งหมด
การพัฒนาที่ผิดพลาด เช่น การพัฒนาเมืองหรือถนนที่ขวางทางน้ำธรรมชาติ และการก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยงโดยไม่ศึกษาบริบทเดิม ทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงขึ้น
ขาดการเตรียมพร้อมและวิเคราะห์หลังเกิดเหตุ ประเทศส่วนใหญ่มักจะสนใจเฉพาะช่วงเกิดปัญหา แต่ขาดการเตรียมตัวล่วงหน้าและประเมินผลหลังเกิดเหตุอย่างจริงจัง
ความซับซ้อนของปัญหา ปัญหาน้ำท่วมไม่มีขอบเขตและเชื่อมโยงกันข้ามพื้นที่ ในขณะที่อัตลักษณ์ของเมืองและวิถีชีวิตผู้คนมีขอบเขต การแก้ปัญหาจึงต้องอาศัยความเข้าใจทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค
และอีกข้อคือ "ความสำคัญของการรับฟัง" ก่อนเริ่มงานออกแบบและแก้ปัญหา จำเป็นต้องมีการรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งด้านเทคนิค ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา รวมไปถึงการรับฟังเรื่องราวจากผู้คนในชุมชน
Ms Mia Clarisse Ignacio นักศึกษาจากฟิลิปปินส์ให้ความเห็นว่า ฟิลิปปินส์มีความเปราะบางต่อภัยพิบัติหลายรูปแบบ เพราะเจอทั้งภูเขาไฟระเบิด พายุ และการกัดเซาะ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม ทำให้แนวคิดการออกแบบที่ยืดหยุ่นเป็นสิ่งจำเป็น โมเดลของโครงการนี้สามารถนำไปปรับใช้กับฟิลิปปินส์ ซึ่งกำลังมองหาวิธีการที่เมืองจะอยู่ร่วมกับน้ำได้ดีขึ้น โดยเน้นการแก้ปัญหาในระดับมนุษย์ (human scale)
ปัจจัยที่ทำให้โครงการ "Root & Currents" โดดเด่นและได้รับรางวัล
รศ. สุนารี ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะความแตกต่างจากคู่แข่ง ในขณะที่ทีมอื่นมักนำเสนอเทคโนโลยีใหม่และการสร้างสิ่งใหม่ โครงการนี้กลับมองย้อนกลับไปที่วัฒนธรรม สังคม และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน
ที่สำคัญคือการบูรณาการเทคโนโลยีกับมนุษย์ ทีมนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่ "ละมุนละม่อม" โดยการเก็บรักษาอัตลักษณ์และวัฒนธรรมเก่าแก่ไว้ ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยี
เน้นการฟื้นฟูและปรับปรุง ไม่ใช่แค่การสร้างใหม่ แต่เป็นการดูแล บูรณะ และผสมผสานสิ่งเดิมที่มีคุณค่าเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
ความเป็นไปได้ของการอยู่ร่วมกับน้ำในความเป็นจริง?
ทีม “Rooted Currents”ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า มีความเป็นไปได้และจำเป็น มนุษย์ต้องพึ่งพาน้ำ และสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับน้ำได้ ดังที่เคยทำมาในอดีต เทคโนโลยีสามารถช่วยได้ก็จริง แต่ไม่สามารถครอบคลุมภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทุกๆร้อยปี หรือทุกๆ สิบปีได้ ต้องอาศัยการเรียนรู้และการปรับตัวของมนุษย์
Mindset ที่สำคัญคือ ต้องเปลี่ยนความคิดจากการต่อต้านเป็นการเข้าใจและยอมรับ เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ แทนที่จะเลียนแบบจากประเทศอื่นโดยตรง
ส่วนการนำโมเดลไปใช้กับเมืองอื่น เช่น หาดใหญ่หรือกรุงเทพฯ ต้องเริ่มจากการ วิเคราะห์ปัญหาและพื้นที่อย่างรอบด้าน ทั้งด้านประวัติศาสตร์ สังคม (รับฟังผู้คน) ภูมิศาสตร์ และองค์ความรู้ที่จับต้องได้ของพื้นที่นั้นๆ เน้นการ รับฟังข้อมูลที่หลากหลาย ก่อนที่จะเริ่มออกแบบหรือเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ ในส่วนของมหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการเตรียมนักศึกษาให้เป็น "ผู้เปลี่ยนแปลงสังคม" ที่มีความเข้าใจในปัญหาเมือง ผู้คน และธรรมชาติอย่างแท้จริง เพื่อสร้างการออกแบบที่ไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่เพื่อการอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนในความเป็นจริง


