ป.ป.ช. ชง “เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงนโยบาย” ยกระดับการเมืองโปร่งใส
ป.ป.ช. รุกคืบ! ชง กกต. คุมเข้ม “เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงนโยบาย” สกัดประชานิยมแฝงประโยชน์ ยกระดับการเมืองโปร่งใสรับเลือกตั้ง 69
สำนักงาน ป.ป.ช. มีมติส่ง “เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงทุจริตเชิงนโยบาย” ให้ กกต. บังคับใช้กับพรรคการเมืองตั้งแต่ขั้นหาเสียง หวังดัดหลังนโยบายขายฝัน-แฝงผลประโยชน์พวกพ้อง พร้อมเปิดข้อมูลให้ประชาชนร่วมตรวจสอบก่อนเข้าคูหาปี 69
22 ธ.ค. 2568 นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเห็นชอบข้อเสนอ “เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบายในขั้นตอนการพัฒนานโยบาย (Policy Formation)” เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นำไปใช้เป็นกรอบกำกับดูแลพรรคการเมืองในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2569
สกัด“ทุจริตเชิงนโยบาย” บทเรียนจากอดีตสู่การป้องกันต้นทาง
นายสุรพงษ์ระบุว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับความเสียหายมหาศาลจาก "การทุจริตเชิงนโยบาย" ซึ่งมักมาในรูปแบบนโยบายสาธารณะที่ดูเหมือนทำเพื่อประชาชน แต่แฝงด้วยการอาศัยช่องว่างกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง หรือนโยบายประชานิยมที่ขาดการศึกษาความคุ้มค่า จนกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง เช่น คดีจำนำข้าว หรือคดีจัดซื้อกล้ายาง
ป.ป.ช. จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช. มาตรา 32 พัฒนาเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยง 4 ด้าน เพื่อดักทางตั้งแต่ขั้นเริ่มทำนโยบายหาเสียง ได้แก่:
1.การประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย
2.การวิเคราะห์ผลกระทบ ความคุ้มค่า และความเป็นไปได้ อย่างเป็นระบบ
3.การแสดงเจตจำนงทางการเมือง ในการต่อต้านการทุจริต
4.การเสริมสร้างความโปร่งใส ในกระบวนการพัฒนานโยบาย
3 ขั้นตอน ขับเคลื่อนสู่การเลือกตั้งปี 69
เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติป.ป.ช. ได้เสนอแนวทางให้ กกต. ดำเนินการ ดังนี้
ขั้นที่ 1: กกต. ส่งเกณฑ์ชี้วัดฯ ให้ทุกพรรคการเมืองใช้เป็นกรอบวิเคราะห์นโยบาย โดยเฉพาะนโยบายที่ใช้งบประมาณสูงหรือกระทบเศรษฐกิจในวงกว้าง
ขั้นที่ 2: พรรคการเมืองจัดทำข้อมูลการวิเคราะห์นโยบายตามเกณฑ์ดังกล่าว ส่งกลับให้ กกต.
ขั้นที่ 3: กกต. เปิดเผยข้อมูลเหล่านี้สู่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนใช้ประกอบการตัดสินใจลงคะแนน
ยันไม่ได้แทรกแซงแต่เน้น “ความรับผิดชอบ”
โฆษก ป.ป.ช. ย้ำว่า การออกเกณฑ์ดังกล่าวไม่ใช่การแทรกแซงกิจกรรมทางการเมือง หรือตัดสินว่านโยบายใดถูกหรือผิด แต่เป็นการสร้างมาตรฐานให้พรรคการเมืองแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูด และให้ข้อมูลที่รอบด้านแก่ประชาชน
"ความร่วมมือระหว่าง ป.ป.ช. และ กกต. ครั้งนี้ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 221 และ 258 เพื่อให้มั่นใจว่านโยบายที่นำเสนอต่อประชาชนผ่านการกลั่นกรองอย่างรอบคอบ ไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะโดยไม่จำเป็น และเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้การเลือกตั้งปี 69 เป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองที่สะอาดและโปร่งใส" นายสุรพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย


