ลุ้นไทย-กัมพูชา คลี่คลาย หลังอาเซียนถกยุติปะทะ หนุน 13 หุ้นไทยฟื้นเด่น
ลุ้นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายความตึงเครียด หลังอาเซียนถกนัดพิเศษหาทางออกสันติภาพ หนุน 13 หุ้นไทยปรับตัวขึ้นโดดเด่น
KEY
POINTS
- อาเซียนจัดประชุมนัดพิเศษเพื่อผลักดันให้เกิดการหยุดยิงและแก้ไขความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
- สถานการณ์ความขัดแย้งส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทจดทะเบียนไทยหลายแห่งที่มีการลงทุนและดำเนินธุรกิจในกัมพูชา
- หากการเจรจาคลี่คลายสถานการณ์ได้สำเร็จ คาดว่าจะส่งผลบวกให้หุ้นไทย 13 บริษัทที่เกี่ยวข้องฟื้นตัวอย่างโดดเด่น
สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทะกันระลอกใหม่มีความรุนแรงกว่าครั้งก่อน ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงและภาคธุรกิจของไทยที่มีการลงทุนในกัมพูชา
ท่ามกลางวิกฤตนี้ นานาชาติได้ยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย ไม่ว่าจะเป็น มหาอำนาจอย่างจีน ผ่านการลงพื้นที่ของ “หวัง อี้” รัฐมนตรีต่างประเทศในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ล่าสุด นายกฯ “อันวาร์ อิบราฮิม” ของมาเลเซีย ได้เร่งให้มีการประชุมอาเซียนนัดพิเศษขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค.2568 โดยมีเป้าหมายหลักคือการโน้มน้าวให้เกิดการหยุดยิง (Ceasefire) และเปลี่ยนสนามรบให้กลับสู่โต๊ะเจรจา
ดังนั้นต้องรอดูว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้ง 2 ชาติ จะยอมรับข้อเสนอหยุดยิงทันทีตามที่มาเลเซีย (เจ้าภาพ) เสนอหรือไม่ และอาเซียนจะมีกลไกโดยเป็น “ผู้สังเกตการณ์” (OBSERVER TEAM) ลงพื้นที่จริงเพื่อลดการเผชิญหน้าทางทหารได้สำเร็จหรือไม่
ทั้งนี้ มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไทยจำนวนมากที่ขยายฐานธุรกิจไปยังกัมพูชา ซึ่งแบ่งระดับผลกระทบได้ ดังนี้
กลุ่มที่มีสัดส่วนธุรกิจสูง
- กลุ่มเครื่องดื่ม: CBG (คาราบาว กรุ๊ป) มียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากกัมพูชาสูงถึง 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง และ 21% ของยอดขายรวม
- กลุ่มโรงไฟฟ้า-พลังงาน: OR (ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก) มีธุรกิจในกัมพูชา ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน 186 สถานี, ร้าน CAFE AMAZON 254 ร้านค้า, ร้านสะดวกซื้อ 71 ร้านค้า โดยในปี 2567 มีส่วนแบ่ง EBITDA มาจากกัมพูชาราว 1.2 พันล้านบาท หรือราว 7% ของ EBITDA รวมของบริษัท
- กลุ่มวัสดุก่อสร้าง: SCCC (ปูนซีเมนต์นครหลวง) มีบริษัทร่วมทุนในประเทศกัมพูชา คือ CHIPMONG INSEE CEMENT CORPORATION สัดส่วน 40% โดยมีส่วนแบ่งกำไรประมาณปีละ 200-250 ล้านบาท คิดเป็น 5-8% ของกำไรทั้งหมดของ SCCC
- กลุ่มสื่อและบันเทิง: MAJOR (เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป) มีโรงหนัง 6 แห่ง รวม 33 จอในกัมพูชา คิดเป็น 3.8% ของจำนวนจอภาพยนตร์ทั้งหมดของ MAJOR
กลุ่มที่มีสัดส่วนธุรกิจต่ำ
- กลุ่มเครื่องดื่ม: OSP (โอสถสภา) มียอดขายในกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วน 1-2% ของยอดขายรวม
- กลุ่มโรงพยาบาล: BDMS (กรุงเทพดุสิตเวชการ) มีโรงพยาบาล 2 แห่ง ในกัมพูชา และ BCH (บางกอก เชน ฮอสปิทอล) มีโรงพยาบาล 1 แห่ง ที่อรัญประเทศ
- กลุ่มไฟฟ้า-พลังงาน: BGRIM (บี.กริม เพาเวอร์) มีโรงไฟฟ้า SOLAR 39MWE คิดเป็นสัดส่วน 1% ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่ COD ในปัจจุบัน
- กลุ่มค้าปลีก: CPALL (ซีพี ออลล์) มีสาขา 7-ELEVEN ในกัมพูชา 112 สาขา, CPAXT (ซีพี แอ็กซ์ตร้า) มีสาขา MAKRO ในกัมพูชา 3 แห่ง และ BJC (เบอร์ลี่ ยุคเกอร์) มีสาขา BIGC ในกัมพูชา 25 แห่ง
- กลุ่มวัสดุก่อสร้าง: SCC (ปูนซิเมนต์ไทย) รายได้จากกัมพูชาประมาณ 5-7% ของรายได้ทั้งหมด
- กลุ่มเกษตรอาหาร: CPF (เจริญโภคภัณฑ์อาหาร) มีการลงทุนในกัมพูชา แต่เป็นฐานการผลิตเพื่อขายในกัมพูชาเป็นหลักและคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 3-4% ของรายได้รวม
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หากสถานการณ์ความตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลงจากการเจรจา จะกลายเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่หนุนให้หุ้นที่มีธุรกิจในกัมพูชา สามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่นในช่วงนี้ เช่น CBG, OR, MAJOR, SCCC (กลุ่มที่มีสัดส่วนธุรกิจในกัมพูชาสูง) และ OSP, BCH, BDMS, BGRIM, CPALL, CPAXT, BJC, SCC, CPF (กลุ่มที่มีสัดส่วนธุรกิจในกัมพูชาต่ำ) เป็นต้น


