หลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” แนวทางแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของไทย
หนึ่งในแนวทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่ได้รับความสนใจในระดับสากลคือ หลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” (Polluter Pays Principle: PPP) ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำหนดให้ผู้ที่ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบทางการเงินต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น!
ปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังในประเทศไทย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสร้างภาระทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาหลักในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทางรัฐบาลได้มีการออกมาตรการที่หลากหลายในการแก้ปัญหานี้
หนึ่งในแนวทางแก้ไขที่ได้รับความสนใจในระดับสากลคือ หลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” (Polluter Pays Principle: PPP) ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำหนดให้ผู้ที่ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบทางการเงินต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น บทความนี้จะวิเคราะห์ตัวอย่างการใช้หลักการดังกล่าวในหลายประเทศทั่วโลก เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาใช้ในบริบทของประเทศไทย
หลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” คืออะไร?
หลักการ Polluter Pays Principle (PPP) เป็นนโยบายที่กำหนดให้ผู้ปล่อยมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษ นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยสารมลพิษโดยกำหนดมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เช่น การเก็บภาษีมลพิษ (Carbon Tax) ค่าธรรมเนียมปล่อยก๊าซเรือนกระจก และระบบการซื้อขายสิทธิ์การปล่อยมลพิษ (Emission Trading Scheme) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการควบคุมปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างการใช้หลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” (Polluter Pays Principle) ในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จากหลายประเทศทั่วโลก
1. สหภาพยุโรป: มาตรการ Emission Trading Scheme
ระบบการซื้อขายสิทธิ์การปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรป (EU Emissions Trading System - ETS) เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการใช้หลักการ PPP เพื่อลดการปล่อยมลพิษอุตสาหกรรมและควบคุม PM 2.5
ประเทศต่างๆในยุโรปเช่น เยอรมนีและฝรั่งเศส ได้นำระบบการเก็บภาษีคาร์บอนมาใช้เพื่อลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยปัจจัยแห่งความสำเร็จเกิดจาก บทลงโทษที่สูงทำให้ธุรกิจปรับตัวไปสู่เทคโนโลยีที่สะอาดขึ้น รายได้จากการเก็บภาษีคาร์บอนถูกนำไปใช้ลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดและมาตรการควบคุมมลพิษ และระบบติดตามและบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด
2. จีน: ระบบภาษีสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Tax)
ประเทศจีนมีการเริ่มใช้ภาษีสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Tax - EPT) ในปี 2018 ซึ่งเรียกเก็บจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยสารก่อมลพิษ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และไนโตรเจนออกไซด์ (NOₓ) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดโดยตรงของฝุ่นPM 2.5 ภายหลังจากมีการบังคับใช้มาตรการนี้ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ กรุงปักกิ่งมีคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นจากการบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มงวด มีการลงทุนในพลังงานสะอาดมากขึ้นอย่างไรก็ตาม ในพื้นที่อุตสาหกรรมบางแห่ง เช่น มณฑลเหอเป่ย การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ทั่วถึงและช่องโหว่ทางกฎหมายทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
3. เกาหลีใต้: ภาษีน้ำมันดีเซลและการส่งเสริมพลังงานสะอาด
ประเทศเกาหลีใต้มีการบังคับใช้แนวทาง PPP โดยการกำหนดภาษีน้ำมันดีเซลในอัตราที่สูง และเก็บค่าปรับจากบริษัทที่ปล่อยมลพิษเกินกำหนด โดยรายได้จากค่าธรรมเนียมเหล่านี้ถูกนำไปใช้เป็นเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะและพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์ที่ได้คือ การลดลงของปริมาณรถยนต์ดีเซลในเมืองใหญ่ มีระบบติดตามคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ และมีมาตรการจูงใจที่ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนสู่เทคโนโลยีสะอาดมากขึ้น
4. อินเดีย: ความล้มเหลวของมาตรการควบคุมมลพิษในกรุงเดลี
ประเทศอินเดียที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วมีการพยายามใช้หลักการ PPP โดยกำหนดค่าธรรมเนียมมลพิษสำหรับอุตสาหกรรมและโครงการก่อสร้างในกรุงเดลี แต่อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้กลับไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอและปัญหาคอร์รัปชันภายในระบบราชการ ส่งผลให้มาตรการบังคับต่างๆ เช่น การติดตามคุณภาพมลพิษทางอากาศไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ท้ายที่สุดแล้วภาคอุตสาหกรรมขาดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สะอาดขึ้น
แนวทางการนำหลักการ Polluter Pays Principle (PPP) มาใช้ในประเทศไทย
ในประเทศไทยปัญหาฝุ่น PM 2.5 ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าจะบรรเทาลง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯและเชียงใหม่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่งและการเผาในที่โล่งเพื่อการเกษตร ซึ่งนโยบายหลักในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นการขอความร่วมมือเป็นหลัก หากในกรณีที่ทางภาครัฐมีความจำเป็นต้องบังคับใช้หลักการ Polluter Pays Principleให้ประสบความสำเร็จ บทความนี้ขอฝากข้อเสนอแนะว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมตัวในหลายด้าน ดังนี้
- การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด: ไทยควรพัฒนาระบบติดตามคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ และตั้งหน่วยงานกำกับดูแลอิสระเพื่อลดช่องโหว่ในการบังคับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มปล่อยมลพิษทางอากาศสูง ควรมีมาตรการบทลงโทษที่เข้มงวดเพื่อโน้มน้าวให้โรงงานปรับตัวไปสู่พลังงานสะอาด
- การเก็บภาษีจากภาคส่วนที่เหมาะสม: โรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าควรถูกเก็บภาษีมลพิษตามปริมาณการปล่อยส่วนในด้านนโยบายลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ภาษีน้ำมันดีเซลและค่าธรรมเนียมการจราจรในเมือง หากมีการวางแผนอย่างรอบคอบให้สอดคล้องกับบริบทของไทย จะช่วยลดมลพิษจากยานพาหนะได้ ส่วนในด้านการเกษตรที่ใช้วิธีเผาไร่อาจคำนึงถึงบทลงโทษทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ควรมีมาตรการช่วยเหลือเกษตกรเพื่อให้เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- การนำรายได้ไปลงทุนในด้านสิ่งแวดล้อม: รายได้จากค่าปรับและภาษีมลพิษ (Pollution Tax) ควรถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดสำหรับภาคอุตสาหกรรม เช่น การปรับปรุงระบบเครื่องกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือการสนับสนุนให้โรงงานติดตั้งระบบติดตามคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ หรือส่งเสริมให้ทางโรงงานอุตสาหกรรมเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ส่วนด้านการพัฒนาระบบขนส่งควรมีการปรับเปลี่ยนให้ภาคขนส่งสาธารณะเป็นระบบเครื่องยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งหมด
- การให้ข้อมูลสาธารณะและความโปร่งใส: การเข้าถึงข้อมูลด้านคุณภาพอากาศมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคประชาชนในการปรับตัวให้เข้ากับคุณภาพอากาศในแต่ละวัน ประเทศไทยจำเป็นต้องมีระบบข้อมูลแบบเปิดเกี่ยวกับคุณภาพอากาศเพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามและกดดันให้หน่วยงานรัฐดำเนินการอย่างจริงจัง
- ความร่วมมือระดับภูมิภาค/ระหว่างประเทศ: ปัญหาฝุ่น pm2.5 เป็นปัญหาระหว่างประเทศที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ เนื่องจากปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้านไม่สามารถแก้ไขได้โดยประเทศใดประเทศหนึ่ง ไทยควรมีการเจรจาร่วมมืออย่างเร่งด่วนกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง (เมียนมา ลาว และกัมพูชา) เพื่อลดปัญหาการเผาป่า อาจมีการจัดตั้งกองทุนภาษีมลพิษจากการเผาป่าและเกษตรกรรมในระดับภูมิภาค หรือการจัดจั้งองค์กรในระดับภูมิภาคเพื่อจัดการต้นตอของปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน
ดร.ณัทกฤช อภิภูชยะกุล
ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร


