ไทย-กัมพูชา จากปะทะชายแดนสู่จุดร้อนแข่งขันมหาอำนาจโลก
ความขัดแย้งไทย-กัมพูชายกระดับจากปะทะชายแดนสู่จุดร้อนภูมิรัฐศาสตร์ เชื่อมโยงอาชญากรรมข้ามชาติ สแกมเมอร์ และการขยับบทบาทสหรัฐฯ-จีน กดดันอาเซียนเร่งไกล่เกลี่ย
KEY
POINTS
- ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาได้ยกระดับจากการปะทะทวิภาคีสู่จุดร้อนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ประชาคมโลกจับตา
- รากเหง้าของปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ข้อพิพาทเขตแดน แต่เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติและเศรษฐกิจสีเทา
- สถานการณ์ได้กลายเป็นเวทีแข่งขันเชิงอิทธิพลระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเข้ามามีบทบาทในความขัดแย้ง
จากปะทะชายแดน สู่จุดร้อนภูมิรัฐศาสตร์
ความขัดแย้งระหว่าง ไทย และ กัมพูชา ที่ยืดเยื้อมากว่าสองสัปดาห์ ถูกยกระดับจากการปะทะเชิงทวิภาคีไปสู่ “จุดร้อน” ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ประชาคมโลกจับตาอย่างใกล้ชิด ความตึงเครียดครั้งนี้ไม่เพียงทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเพื่อนบ้าน แต่ยังเปิดพื้นที่ให้มหาอำนาจเข้ามาแสดงบทบาทและแข่งขันเชิงอิทธิพลอย่างชัดเจน
ในเชิงโครงสร้าง ความขัดแย้งไม่ได้หยุดอยู่แค่เส้นเขตแดน หากแต่เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ข้ามชาติ เศรษฐกิจสีเทา และเครือข่ายอาชญากรรมที่ฝังรากลึกตามแนวชายแดน การทำความเข้าใจพลวัตดังกล่าวจึงต้องเริ่มจากสมรภูมิจริง ซึ่งสะท้อนทั้งขีดความสามารถและเจตจำนงของคู่ขัดแย้ง
สมรภูมิจริง: ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และสัญญาณการเมือง
ภาพรวมการสู้รบสะท้อนว่าไทยถือความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในหลายจุด แม้ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เบ็ดเสร็จ กองทัพไทยส่งสัญญาณชัดว่าจะเดินหน้าปฏิบัติการต่อเนื่อง โดยมุ่งลดทอนศักยภาพการรบของฝ่ายตรงข้าม ขณะที่ความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายยังเป็นปัจจัยกดดันเชิงการเมืองและสังคม
จุดยุทธศาสตร์สำคัญคือ เนิน 350 ในพื้นที่ช่องบก ซึ่งเป็น “จุดสูงข่ม” การครอบครองพื้นที่นี้หมายถึงความได้เปรียบในการควบคุมการเคลื่อนกำลังและการยิงสนับสนุน ทำให้ตกเป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการทางทหาร
ขณะเดียวกัน รูปแบบสงครามได้เปลี่ยนไปสู่ “สงครามโดรน” ฝ่ายกัมพูชานำอากาศยานไร้คนขับมาใช้ทั้งเพื่อการก่อกวนและการโจมตีแบบคามิคาเซ่ ขณะที่ฝ่ายไทยยกระดับการโจมตีเชิงลึก โดยเฉพาะการทำลายคลังจรวด BM-21 ใน ปอยเปต ซึ่งมีนัยยะมากกว่าการทหาร เพราะพื้นที่เดียวกันถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจสีเทาและเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ
ศูนย์กลางสแกมเมอร์: รากเหง้าความขัดแย้งที่แท้จริง
ปัจจัยที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้แตกต่างจากอดีต คือบทบาทของ “อาชญากรรมข้ามชาติ” โดยเฉพาะเครือข่ายสแกมเมอร์และบ่อนการพนัน สื่อต่างประเทศจำนวนมากชี้ตรงกันว่า หากไม่มองมิติผลประโยชน์จากเศรษฐกิจสีเทา ก็ไม่อาจอธิบายความตึงเครียดรอบนี้ได้ครบถ้วน
การประเมินบางกระแสระบุว่า รายได้จากธุรกิจผิดกฎหมายอาจมีสัดส่วนสูงต่อระบบเศรษฐกิจของกัมพูชา โดย ปอยเปต คือหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญ นั่นหมายความว่า การปะทะครั้งนี้ไม่ใช่แค่ข้อพิพาทเขตแดน แต่เป็นการท้าทายโครงสร้างอำนาจและแหล่งรายได้หลักของชนชั้นนำบางส่วน จึงทำให้การเจรจายุติความขัดแย้งทำได้ยากกว่าปกติ
สำหรับไทย นี่คือ “จุดเปลี่ยนเชิงกรอบการสื่อสาร” จากความขัดแย้งเชิงชาตินิยม ไปสู่การต่อสู้กับภัยคุกคามระดับโลก หากสามารถผลักดันวาระอาชญากรรมข้ามชาติให้เป็นประเด็นสากลได้ จะช่วยสร้างความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
มหาอำนาจขยับ: สหรัฐฯ–จีน บนกระดานเดียวกัน
ความขัดแย้งไทย–กัมพูชากลายเป็นสนามแสดงบทบาทของมหาอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สหรัฐอเมริกา ภายใต้ผู้นำอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามสวมบทคนกลางไกล่เกลี่ย มีการติดต่อผู้นำทั้งสองฝ่าย พร้อมใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือ อย่างไรก็ดี ไทยยืนยันจุดยืนด้านอธิปไตยและภารกิจความมั่นคงของตน
จีน เข้ามาในฐานะผู้มีอิทธิพลสูงต่อกัมพูชา และมีบทบาททางเศรษฐกิจต่อไทย โดยใช้ประเด็น “ปราบสแกมเมอร์” เป็นใบเบิกทางทางการทูต แม้จะถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องบทบาทด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ตาม
นอกจากนั้น ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปต่างแสดงความกังวลต่อผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและเสถียรภาพภูมิภาค ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ต้องหาทางคลี่คลายสถานการณ์ในกรอบพหุภาคี
อาเซียน: บททดสอบความน่าเชื่อถือภูมิภาค
ในระดับภูมิภาค อาเซียน ถูกจับตามองอย่างหนักว่าจะสามารถบริหารวิกฤตของรัฐสมาชิกได้เพียงใด การริเริ่มของ อันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน เพื่อนำไปสู่การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศที่ กัวลาลัมเปอร์ คือความพยายามรักษาหลัก “วิถีอาเซียน” ให้ยังคงมีความหมาย
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือ สถานการณ์ในพื้นที่กลับทวีความรุนแรง ขณะที่ผลประโยชน์ของมหาอำนาจยังทับซ้อน การประชุมดังกล่าวจึงไม่ใช่เพียงการหาทางหยุดยิง แต่เป็นบทพิสูจน์ว่ากลไกภูมิภาคจะรับมือกับวิกฤตที่ซับซ้อนและถูกแทรกแซงจากภายนอกได้หรือไม่
แนวโน้มข้างหน้า: วิกฤตหรือโอกาสของไทย
ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาในปัจจุบันสะท้อนชัดว่า ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ที่เขตแดน แต่ผูกพันกับอาชญากรรมข้ามชาติและการแข่งขันของมหาอำนาจ หากไทยสามารถสื่อสารและผลักดันวาระ “ปราบเศรษฐกิจสีเทา” ให้เป็นประเด็นร่วมของประชาคมโลกได้ จะเปลี่ยนบทบาทจากคู่ขัดแย้ง ไปสู่ผู้เล่นเชิงบวกด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
ผลลัพธ์ของกระบวนการทางการทูต โดยเฉพาะบทบาทของอาเซียน จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถป้องกันไม่ให้ความตึงเครียดลุกลามสู่ความขัดแย้งตัวแทนของมหาอำนาจได้หรือไม่ และนั่นจะกำหนดทิศทางเสถียรภาพของภูมิภาคในระยะยาว.
ที่มา : เนชั่นสุดสัปดาห์ (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


