กฎอัยการศึก บทเรียนเขาพระวิหารสะท้อนวิกฤตชายแดนช่องบก
ปี 2568 ความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาปะทุอีกครั้งที่ “ช่องบก” อุบลฯ กับข้อกล่าวหาอีกฝ่ายล้ำแดน จนมีกระแสเรียกร้องใช้กฎอัยการศึกควบคุมสถานการณ์
ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ปรากฏขึ้นอีกครั้งในปี 2568 จุดร้อนล่าสุดอยู่ที่ “ช่องบก” จังหวัดอุบลราชธานี ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่ากัมพูชาล้ำเส้น “โนแมนส์แลนด์” และมีกระแสเรียกร้องให้กองทัพไทยใช้ “กฎอัยการศึก” เป็นเครื่องมือควบคุมสถานการณ์
แม้สถานการณ์ยังไม่ลุกลามถึงขั้นปะทะ แต่บรรยากาศที่ปกคลุมไปด้วยความหวาดระแวงชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต — วิกฤตการณ์ “เขาพระวิหาร” ปี 2553–2554 ซึ่งไทย-กัมพูชาเคยใช้กำลังกันจริง
เมื่ออดีตย้อนกลับมา: เขาพระวิหาร 2553–2554
ย้อนกลับไปช่วงปี 2553–2554 ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ตึงเครียดจากการที่กัมพูชาขึ้นทะเบียน “ปราสาทเขาพระวิหาร” เป็นมรดกโลก ซึ่งไทยมองว่าอาจกระทบต่อเขตแดนและอธิปไตยของตน
สถานการณ์ทวีความรุนแรง มีการระดมทหารเข้าประจำการแนวชายแดน และเกิดการยิงปะทะหลายครั้งในพื้นที่รอบปราสาท บางช่วงถึงขั้นใช้อาวุธหนัก และมีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย
รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนั้นได้ใช้อำนาจกฎอัยการศึกควบคุมบางพื้นที่ โดยให้กองทัพเป็นผู้บัญชาการพื้นที่ความมั่นคง สื่อถูกควบคุมอย่างเข้มงวด และประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการทางทหาร
ช่องบก 2568: ความเหมือนในฉากใหม่
ในปี 2568 พื้นที่ “ช่องบก” กลายเป็นจุดปะทะทางจิตวิทยาแบบใหม่ ระหว่างไทย–กัมพูชา กองทัพไทยรายงานว่าพบสิ่งปลูกสร้างของกัมพูชาล้ำเข้ามาในพื้นที่พิพาทกว่า 200 เมตร และฝ่ายการเมืองไทยเริ่มใช้ถ้อยคำแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ยังไม่มีการยิงปะทะ แต่ความเคลื่อนไหวของทหาร การซ้อมรบใกล้แนวชายแดน และกระแสเรียกร้องให้ “ประกาศกฎอัยการศึก” เริ่มกดดันรัฐบาลให้แสดงท่าทีเด็ดขาด
พลวัตครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่การเมืองไทยกำลังอยู่ระหว่างการปรับคณะรัฐมนตรี ขั้วอำนาจภายในรัฐบาลต่างพยายามใช้ประเด็น “ปกป้องแผ่นดิน” สร้างฐานเสียง สะท้อนว่า “ความมั่นคง” ยังคงเป็นไพ่สำคัญทางการเมือง
ต่างบริบท แต่บทเรียนเดียวกัน
สิ่งที่ทั้งสองเหตุการณ์มีร่วมกันคือ “ความอ่อนไหวของอารมณ์ชาตินิยม” และการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่สิ่งที่ต่างคือ “ระดับของการตอบโต้” และการบริหารสถานการณ์ของรัฐ
หากปี 2553 ไทยเลือกใช้กำลังเพื่อสร้างจุดยืน ปี 2568 ไทยเลือกใช้เวทีเจรจา JBC และส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ ท่าทีรัฐบาลแพทองธารยึดแนวทาง “อดทน–ไม่ถอย” แทนการเปิดศึก
แม้กฎอัยการศึกยังไม่ถูกนำมาใช้จริง แต่สัญญาณทางการเมืองบ่งชี้ว่าหากสถานการณ์ลุกลาม หรือถูกลากเข้าสู่เวทีประชานิยม กฎหมายพิเศษนี้ก็อาจกลับมาเป็นเครื่องมือในการควบคุมทั้งทหารและประชาชนอีกครั้งข้
ข้อสังเกตเชิงยุทธศาสตร์
กฎอัยการศึกคือ “ดาบสองคม” ที่ใช้เพื่อควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่หากใช้โดยขาดกลไกตรวจสอบ อาจทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีโลก
ความสัมพันธ์กับกัมพูชาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยทั้งความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นทางการทูต
ความขัดแย้งในอดีตควรเป็นบทเรียน ไม่ใช่แม่แบบการตอบโต้ในปัจจุบัน
หากรัฐบาลไทยสามารถรักษาสมดุลระหว่าง “อธิปไตย” และ “ความสงบ” ได้สำเร็จ นี่จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์วุฒิภาวะของการเมืองไทยยุคใหม่ — ที่เรียนรู้จากอดีต และไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย.


