อนาคตญี่ปุ่นสะท้านอุตสาหกรรมนิวเครียร์สะเทือน
เป็นอีกครั้งที่พลังงานนิวเคลียร์ทำให้ชาวโลกต้องขวัญหาย เมื่อเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในเมืองฟุกุโอกะของญี่ปุ่น ถูกถล่มโดยแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์
เป็นอีกครั้งที่พลังงานนิวเคลียร์ทำให้ชาวโลกต้องขวัญหาย เมื่อเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในเมืองฟุกุโอกะของญี่ปุ่น ถูกถล่มโดยแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์
และคลื่นยักษ์สึนามิความสูงถึง 10 เมตร จนระบบรวน สะสมความร้อนมหาศาลกลายเป็นระเบิดเวลาลูกมหึมา พร้อมที่จะตูมตามและปล่อยกัมมันตภาพรังสีได้ทุกเมื่อ ซึ่งขณะนี้เตาปฏิกรณ์ระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว 2 เตา แต่ระดับรังสียังไม่สูงจนเป็นอันตรายต่อมนุษย์หลายล้านคนในปริมณฑลที่รังสีรั่วไหลไปถึง
วิกฤตนิวเคลียร์ในญี่ปุ่นสร้างความสั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อความเชื่อมั่นของพลังงานชนิดนี้ และปลุกกระแสถกเถียงในวงกว้างในประเทศที่พึ่งพาและกำลังจะพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์
แม้ญี่ปุ่นจะยังอยู่ในระหว่างการฟื้นฟูหลังภัยธรรมชาติ แต่เริ่มที่จะมีประเด็นถกเถียงในทำนองนี้เช่นกัน และไม่ใช่ครั้งแรกที่คนญี่ปุ่นตั้งคำถามกับการพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้าในอัตราส่วนที่สูงมากถึง 34.5% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีโรงงานพลังนิวเคลียร์มากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐและฝรั่งเศส มีเตาปฏิกรณ์ 61 เตา ในโรงงาน 20 แห่งทั่วประเทศ ในจำนวนนี้มีเตาที่ใช้งานได้จริง 53 เตา
อาจกล่าวได้ว่าพลังงานนิวเคลียร์เปรียบเสมือนแรงปั๊มหลักที่หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอันเป็นหัวใจของประเทศนี้ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 70-80 อันเป็นช่วงที่ญี่ปุ่น “พีก” ที่สุด
นับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 60 ที่ญี่ปุ่นเดินเครื่องปั่นไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์แห่งแรกที่โรงงานโตไค จนก้าวสู่ตำแหน่งอันดับ 3 ของประเทศที่พึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ แต่ญี่ปุ่นยังไม่ยุติโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ขณะที่สหรัฐและฝรั่งเศสได้ระงับโครงการเป็นการชั่วคราวและเป็นครั้งคราว เนื่องจากกระแสคัดค้านอย่างรุนแรงจากสาธารณชน
โดยเฉพาะสหรัฐที่เกิดขบวนการ NIABY ที่ย่อมาจาก Not In Anyone’s Backyard หรือ “อย่ามาสร้างที่หลังบ้านใครก็ตาม” ขบวนการนี้ต่อต้านการก่อสร้างโรงงานนิวเคลียร์ใกล้กับย่านที่อยู่อาศัย ทั้งในสหรัฐและทั่วโลก ด้วยตระหนักถึงพิษภัยรุนแรงหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน
ญี่ปุ่นมีขบวนการ NIABY เช่นกัน แต่เป็นกระแสที่แผ่วมาก ดังเช่นเมื่อเดือน ม.ค. นักต่อต้าน 5 คน ร่วมอดอาหารประท้วงคัดค้านการสร้างโรงงานพลังนิวเคลียร์ที่เมืองคามิโนะเซกิ แต่สุดท้ายต้องยุติการประท้วงในเวลา 240 ชั่วโมง อย่างไร้ผลและไร้การสนับสนุนในวงกว้าง
ชาวญี่ปุ่นมีเหตุผลหนักแน่นที่ต้องสนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์ เพราะขาดแคลนพลังงานทางเลือกชนิดอื่น ไม่มีพลังงานฟอสซิล (น้ำมัน/ก๊าซธรรมชาติ) มีเพียงถ่านหินซึ่งมีอยู่น้อยนิด ส่วนการใช้ผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนพลังน้ำมีสัดส่วนลดฮวบเหลือไม่ถึง 10% นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 2000 และลดลงต่อเนื่อง
การนำเข้าพลังงานฟอสซิลเป็นภาระอันหนักหน่วง ด้วยปริมาณการบริโภคน้ำมันถึง 4.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นรองเพียงสหรัฐและจีน แต่อัตราส่วนการบริโภคพลังงานฟอสซิลเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากราคาที่แพงขึ้น อีกทั้งญี่ปุ่นยังมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามพิธีสารเกียวโต โดยลดมลภาวะจากการใช้พลังงานฟอสซิล
ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับชาวญี่ปุ่นจึงเป็นพลังงานนิวเคลียร์เท่านั้น ยกเว้นชาวโลกจะค้นพบพลังงานที่สะอาด คุ้มค่า และปลอดภัยกว่านิวเคลียร์
โดยเฉพาะเหตุผลด้านความสะอาด หรือพลังงานสีเขียว กลายเป็นธงนำของกลุ่มผู้สนับสนุน ดังจะเห็นได้จากคำโฆษณาของบริษัท Kajima และ Tokyo Electric Power Company หรือ TEPCO ผู้ก่อสร้างและบริหารโรงงานที่ฟุกุชิมะและโอนางาวะ
แม้กระทั่งพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (DPJ) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลชุดปัจจุบัน ยังเคยเปลี่ยนจุดยืนเมื่อปี 2550 จากเดิมที่เคยมองว่าพลังงานนิวเคลียร์เป็นเพียง “พลังงานทดแทนช่วงเปลี่ยนผ่าน” มาเป็นการสนับสนุนอย่างเต็มที่ และยกให้เป็น “แหล่งพลังงานหลัก” ของประเทศ ทัศนะนี้ตรงกันกับพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) อันเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่คุมรัฐบาลมานานกว่า 40 ปี
พรรคใหญ่ๆ ของประเทศจึงมีทัศนะตรงกันในเรื่องนี้ ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าพรรคใดเป็นรัฐบาลจะยังคงหรือขยายโครงการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์อย่างแน่นอน
ญี่ปุ่นยังตระหนักถึงผลลัพธ์ด้านบวกจากการเดินหน้าพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ ไม่เพียงชะลอการนำเข้าพลังงานจากภายนอกได้สำเร็จเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งออกพลังงานและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ไปยังต่างประเทศเป็นเงินมหาศาล
ความกระหายพลังงานในประเทศและนอกประเทศ ยังผลให้ TEPCO ผู้ผลิตและให้บริการไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ครองตำแหน่งบริษัทไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก ซึ่งบริษัทนี้บริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 3 แห่ง 2 แห่ง ที่ฟุกุชิมะ (ฟุกุชิมะ ไดอิจิ และฟุกุชิมะ ไดนิ) และอีก 1 แห่งที่จังหวัดนีงาตะ
ฝ่ายภาครัฐยังเปิดเกมรุก เป็นหัวหอกส่งออกเทคโนโลยีนิวเคลียร์ไปทั่วโลก โดยมีหน่วยงานชื่อ International Nuclear Energy Development of Japan Co หรือ JINED เป็นผู้ประสานงานหลัก โดยเมื่อเดือน พ.ย. 2553 เพิ่งเซ็นสัญญาสร้างโรงงานนิวเคลียร์แห่งที่ 2 กับเวียดนาม และเมื่อเดือน ก.พ.ปีนี้ รัฐมนตรีพลังงานของลิทัวเนียหารือกับคู่เจรจาฝ่ายญี่ปุ่นเพื่อขอความร่วมมือด้านพลังงานชนิดนี้เช่นกัน หลังจากเกาหลีใต้ถอนตัวออกไป (เกาหลีใต้พยายามดัมพ์ราคาญี่ปุ่นมาโดยตลอด)
JINED อยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) โดยที่การประสานงานครอบคลุมภาคธุรกิจที่มีเทคโนโลยีนิวเคลียร์ (เช่น บริษัท Hitachi, Mitsubishi Heavy Industries และ Toshiba) และผู้ให้บริการพลังงาน (เช่น บริษัท Chubu, Kansai และ TEPCO) เพิ่งประกาศแผนรุกตลาดต่างประเทศเมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว โดยมีลูกค้ารายใหญ่เป็นเวียดนาม อินเดีย และตุรกี
พลังงานนิวเคลียร์จึงเป็นอีกหนึ่งอนาคตรายได้ก้อนใหญ่ที่จะไหลเข้าสู่ประเทศ ในช่วงเวลาที่เงินเยนแข็งปั๋งจนการส่งออกประเภทอื่นทรุดอย่างไร้วี่แววฟื้นตัวในเวลาอันใกล้
ในช่วงเวลาที่ JINED กำลังไปได้สวยในตลาดต่างประเทศ แต่นับวันชาวญี่ปุ่นยิ่งกังขากับการบริหารจัดการพลังงานนิวเคลียร์
ญี่ปุ่นนับเป็นประเทศที่เผชิญกับอุบัติเหตุด้านนิวเคลียร์บ่อยครั้ง เป็นรองแต่เพียงสหรัฐ ไล่เรียงมาตั้งแต่ปี 2542 เกิดการระเบิดที่โรงงานโทไคมูระ มีผู้เสียชีวิต 2 คน ต่อมาในปี 2546 TEPCO ต้องปิดโรงงาน 17 แห่ง เนื่องจากปลอมแปลงข้อมูลด้านความปลอดภัย ในปี 2547 ไอน้ำความร้อนสูงรั่วจากท่อส่งในโรงงานที่มิฮามะ คร่าชีวิตคนงานไป 5 คน ปี 2550 เกิดแผ่นดินไหวที่นีงาตะ สร้างความเสียหายให้กับโรงงานคาชิวาซากิ
และล่าสุด คือ วิกฤตโรงงานนิวเคลียร์ในพื้นที่โตโฮกุ หรือภาคอีสาน โดยมีโรงงานฟุกุชิมะ ไดอิจิ หรือโรงงานหมายเลข 1 เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง
โดยตัวพลังงานนิวเคลียร์ค่อนข้างปลอดภัยในระดับหนึ่ง หากการจัดการมีประสิทธิภาพสูง วิลเลียม ทักเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ ระบุในหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ว่า แม้จะมีการระเบิดที่ฟุกุชิมะ ไดอิจิ แต่ความรุนแรงจะไม่เท่ากับหายนะที่เชอร์โนบิล เพราะแห่งหลังมีช่องโหว่ด้านกลไกอยู่ที่การใช้ธาตุแกรไฟต์หล่อเย็นแทนที่จะใช้น้ำ ซึ่งเสี่ยงที่จะติดไฟและทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์นอกระบบ แต่ระบบหล่อเย็นโดยน้ำจะไม่ส่งผลรุนแรงถึงเพียงนั้น
สิ่งที่ญี่ปุ่นต้องการ เพียงการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและโปร่งใสเท่านั้น
แต่จนแล้วจนรอดญี่ปุ่นกลับเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับมาตรการโรงงานนิวเคลียร์บ่อยครั้ง เช่น เมื่อมีการระเบิดที่โทไคมูระ ปี 2542 รัฐบาลไม่เคยยอมรับว่ากัมมันตภาพรังสีแพร่มาถึงชานกรุงโตเกียว ทว่าผู้สื่อข่าว รวมถึง โยอิจิ ชิมัตสึ อดีตบรรณาธิการของ Japan Times Weekly ได้รับแจ้งจากสถานีตรวจสอบสารพิษว่ามีการแพร่กระจายจริง
โดยเฉพาะกรณีที่ TEPCO ปิดบังข้อมูลด้านความปลอดภัยระหว่างปี 2520-2545 ซึ่งต่อมาจากการสอบสวนพบว่ามีการปกปิดเหตุการณ์และบิดเบือนมาตรฐานความปลอดภัยในโรงงานนิวเคลียร์ถึง 200 ครั้ง และอาจรวมถึงครั้งล่าสุดด้วย
ความโปร่งใสจึงเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งยวดต่ออนาคตอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ญี่ปุ่นและทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกปัจจัยที่ญี่ปุ่นต้องหาหนทาง เพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ของญี่ปุ่นสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง เนื่องจากตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกหลายแผ่นที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลบ่อยครั้ง เช่น สิ่งที่เกิดขึ้นกับโรงงานนิวเคลียร์แถบโตโฮกุ
แต่แม้จะมีปัจจัยลบเช่นนี้ คนญี่ปุ่นน้อยรายเท่านั้นที่ปริปากบ่น หรือลุกขึ้นต่อต้าน อีกทั้งเหตุการณ์ล่าสุดจะตอกย้ำความไร้ประสิทธิภาพของ TEPCO จนกระทบต่อผลประกอบการ แต่มิใช่อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์โดยรวม
เพราะความเสี่ยงเป็นราคาที่ญี่ปุ่นจะต้องจ่ายให้กับพลังงานนิวเคลียร์ เพื่อป้อนความต้องการและเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศที่ปราศจากพลังงานทางเลือกราคาถูก


