"สีหศักดิ์"สัมภาษณ์เนชั่น นำการทูตไทยสู่ยุคใหม่สมดุลมหาอำนาจ
รมว.ต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เดินหน้ายกระดับการทูตไทยสู่ความโปร่งใส มืออาชีพ สร้างสมดุลท่ามกลางการแข่งขันมหาอำนาจ พร้อมสื่อสารกับประชาชนควบคู่
KEY
POINTS
- นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เสนอวิสัยทัศน์ “การทูตเชิงรุก” เพื่อยกระดับบทบาทและฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศไทยบนเวทีโลก
- ดำเนินนโยบายรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจ โดยย้ำว่าจะไม่เลือกข้าง แต่จะยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งในการสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และจีน
- มุ่งเน้น “การทูตเชิงเศรษฐกิจ” เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศ โดยเชื่อมโยงนโยบายการค้า การลงทุน และเทคโนโลยีกับพันธมิตรทั่วโลก
เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2568 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศให้สัมภาษณ์พิเศษผ่านรายการ เนชั่นอินไซต์ โดยมีนายบุญเลิศ บากบั่น และนายวีระศักดิ์ พงษ์อักษร 2บก.ข่าวในเครือเนชั่นเป็นผู้สัมภาษณ์ มีเนื้อหาที่น่าสนใจ สะท้อนวิสัยทัศน์ “การทูตเชิงรุก (Proactive Diplomacy)” ที่มุ่งยกระดับบทบาทประเทศไทยให้กลับมาโดดเด่นบนเวทีโลก ดังนี้
การวางรากฐานใหม่ของนโยบายต่างประเทศไทย
นายสีหศักดิ์ยอมรับว่า การเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลระยะสั้นเพียง 4 เดือนถือเป็นโจทย์ท้าทาย แต่เขามองว่าเป็น “ช่วงเวลาแห่งการวางรากฐาน” ที่จะกำหนดทิศทางการทูตไทยในทศวรรษหน้า โดยเน้นสร้าง “ภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศ” ที่โปร่งใส มีเอกภาพ และมีพลังในเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคง
นายสีหศักดิ์ อธิบายว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา“ประเทศไทยหลุดจากเรดาร์โลก” ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นถดถอย และบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ลดลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม
เสาหลักแห่ง “การทูตเชิงรุก”
นายสีหศักดิ์ได้อธิบายแนวคิด “การทูตเชิงรุก” ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลักสำคัญ
เสริมความเข้มแข็งจากภายใน
เน้นความเป็นเอกภาพของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะการประสานงานระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และกองทัพ เพื่อสร้างพลังต่อรองที่น่าเชื่อถือในเวทีโลก
ยกระดับบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ
กระทรวงต้องฟื้น “ความภาคภูมิใจในความเป็นทูตไทย” ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และจิตสำนึกในการทำงานเพื่อประเทศ
การทูตเศรษฐกิจนำการเปลี่ยนแปลง
กระทรวงการต่างประเทศจะเข้าร่วม “ครม.เศรษฐกิจ” เพื่อเชื่อมโยงนโยบายการค้า การลงทุน และเทคโนโลยีกับพันธมิตรทั่วโลก
นักการทูตต้องเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ให้ไทย
การทูตในสนามจริง: เมียนมาและกัมพูชา
นายสีหศักดิ์ยกสองกรณีตัวอย่างที่สะท้อนพลังของ “การทูตเชิงรุก”
1. กรณีเมียนมา
ไทยรับบทผู้นำในภูมิภาค สนับสนุนกระบวนการสันติภาพและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยทำงานประสานกับอาเซียน จีน และอินเดีย เพื่อรักษาเสถียรภาพชายแดน
2. กรณีกัมพูชา
ไทยเปลี่ยนจุดยืนจาก “ตั้งรับ” เป็น “เชิงรุก” ผ่านการเปิดพื้นที่เจรจา (Diplomatic Space) และชี้แจงท่าทีของไทยในที่ประชุมสหประชาชาติ (UN) จนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกลับมาดีขึ้นราว 70%
นายสีหศักดิ์ประเมินผลการดำเนินงานว่า “ยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่น”
กระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้
นายสีหศักดิ์ย้ำว่า “สันติภาพต้องไม่เกิดแค่บนโต๊ะเจรจา แต่ต้องอยู่ในชีวิตจริงของประชาชน”
โดยแนวทางที่ใช้คือการดำเนินงาน “หลายมิติ” ควบคู่กัน ได้แก่
มิติการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีโอกาสทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
มิติการมีส่วนร่วมของประชาชน เปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็น ทั้งในเรื่องอัตลักษณ์ ศาสนา และความยุติธรรม
มิติการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ โดยเฉพาะกลุ่มบีอาร์เอ็น (BRN) เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและยุติความรุนแรงอย่างยั่งยืน
ในด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ เขาย้ำว่า มาเลเซียมีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้อำนวยความสะดวก” ที่มีความจริงใจ เพราะสันติภาพในภาคใต้ย่อมส่งผลดีต่อความมั่นคงชายแดนและการค้าระหว่างประเทศด้วย ไทยจะยังคงประเมิน “ความจริงใจและผลลัพธ์เชิงปฏิบัติ” ของคู่เจรจาอย่างต่อเนื่อง
การประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (LMC)
ประเทศไทยจะเป็น เจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด LMC ซึ่งมีจีน ลาว เมียนมา กัมพูชา และเวียดนามเข้าร่วม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความร่วมมือในอนุภูมิภาคและยกระดับบทบาทไทยในภูมิภาคแม่น้ำโขง
ประเด็นหลักของการหารือ ได้แก่:
การพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานในลุ่มน้ำโขง
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมต่อทุกประเทศ
การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” และ “สแกมเมอร์” ซึ่งเป็นวาระสำคัญที่จีนให้ความสนใจ
ไทยยังเสนอจะเป็น เจ้าภาพจัดการประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยอาชญากรรมไซเบอร์และสแกมเมอร์ เพื่อสร้างกลไกร่วมระดับภูมิภาคในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่
ปัญหามลพิษข้ามแดน
รัฐมนตรีฯ กล่าวถึงข้อกังวลเรื่อง มลพิษและสารพิษปนเปื้อนในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับกิจกรรมเหมืองและอุตสาหกรรมในเขตชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาและจีน
รัฐมนตรีต่างประเทศ ย้ำว่า ไทยจำเป็นต้อง ผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อจัดการปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ผ่านกรอบหารือระหว่างประเทศ เพื่อสร้างมาตรการร่วมในการเฝ้าระวังและควบคุมผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
สมดุลมหาอำนาจ: ไม่เลือกข้าง แต่เลือกชาติ
รัฐมนตรีต่างประเทศย้ำว่า “ไทยจะไม่เลือกข้างมหาอำนาจ แต่จะเลือกประโยชน์ของชาติ”
โดยมีแนวทางสำคัญคือ
- รักษาความสัมพันธ์กับจีน อย่างเท่าเทียม มีศักดิ์ศรี
- ฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยกลับมาอยู่ในจอเรดาร์ของโลกตะวันตก
- ใช้เวทีอาเซียน เป็นกลไกรวมพลังของภูมิภาค สร้างเอกภาพท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ
การทูตโปร่งใสเพื่อประชาชน
นายสีหศักดิ์สรุปว่า ความสำเร็จของนโยบายต่างประเทศไม่ได้อยู่ที่ “กระทรวง” เพียงฝ่ายเดียว แต่อยู่ที่ “ประชาชนเข้าใจและร่วมเดินไปด้วยกัน”และเน้นว่า การสื่อสารกับประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ เพราะ “การทูตที่ยั่งยืน ต้องมีรากมาจากความเข้าใจของคนในชาติ”
“เราจะทำให้การทูตไม่ใช่เรื่องของชนชั้นนำในกระทรวง แต่เป็นพลังร่วมของคนไทยทั้งประเทศ”
สรุป 3 แก่นการทูตยุคใหม่ของไทย
- การทูตเศรษฐกิจขับเคลื่อนประเทศ
- การบริหารความขัดแย้งอย่างมีกลยุทธ์
- การรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ
นับเป็นการประกาศทิศทางใหม่ของการทูตไทย ที่จะทำให้ประเทศไทยกลับมามี “เสียงและอิทธิพล” ในเวทีโลกอีกครั้งอย่างสง่างาม.
ที่มา: เนชั่นอินไซต์
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรรณาธิการข่าวการเมือง


