พลิกปูม “สมพงษ์”ยื่นลาออกเพื่อไทย อ้างปมบริหารในพรรค

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตหัวหน้าพรรคและอดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อช่วงเช้าวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมอบหมายให้ทีมงานนำเอกสารไปยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง สส.บัญชีรายชื่อโดยอัตโนมัติ

นายสมพงษ์เปิดเผยว่า การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากการทบทวนอย่างรอบด้าน หลังเห็นว่าปัญหาการบริหารภายในพรรคสะสมมานาน ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 และถึงจุดที่ไม่อาจเดินหน้าต่อได้ พร้อมยืนยันว่า การลาออกไม่เกี่ยวข้องกับสถานะพรรคที่ต้องมาเป็นฝ่ายค้านหรือกระแสตกต่ำในช่วงนี้

“เป็นเรื่องการบริหารจัดการภายในพรรค ไม่ได้ถูกใครดูด และไม่มีพรรคไหนกล้ามาดูดผมแน่นอน” นายสมพงษ์กล่าว 

อดีตหัวหน้าเพื่อไทยระบุว่า ตลอดระยะหลัง พรรคมีปัญหาการบริหารจัดการและขาดความเป็นเอกภาพ ความเห็นจากสมาชิกหลายฝ่ายไม่ถูกนำมาพิจารณา การตัดสินใจอยู่ในมือ “ผู้มีบารมี” ที่ครอบงำพรรค ส.ส.จำนวนมากรู้สึกอึดอัด แต่ไม่กล้าแสดงออกเพราะพรรคเคยเป็นแกนนำรัฐบาล ทำให้ปัญหาถูกซ่อนเร้นใต้พรมมานาน

นายสมพงษ์ ยังระบุว่า สัญญาณวิกฤตเริ่มชัดจากผลการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นฐานเสียงดั้งเดิมของพรรค แต่ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด กลับได้เพียง 2 จาก 10 เขตเลือกตั้ง คะแนนบัญชีรายชื่อยังตามหลังคู่แข่งหลายหมื่นเสียง “นี่คือสัญญาณว่าพรรคกำลังเดินผิดทาง หากไม่รีบปรับ ก็ร่วงเหวแน่” นายสมพงษ์กล่าว

นายสมพงษ์ยังชี้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 2563 ที่พรรคสนับสนุน นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ลงสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ แม้จะชนะเลือกตั้งสองสมัย แต่กลับสร้างรอยร้าวภายใน เพราะการทำงานขาดการประสานกับทีม สส. และผู้สมัครที่อยู่นอกกลุ่ม ส่งผลให้โครงสร้างพรรคในพื้นที่อ่อนแอ

สำหรับนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ปัจจุบันอายุ 77 ปี เป็นนักการเมืองอาวุโสที่ผ่านตำแหน่งสำคัญมาอย่างยาวนาน ทั้งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีหลายกระทรวง และเคยเป็นแกนนำ “กลุ่ม 16” ที่มีบทบาทโดดเด่นในอดีตทางการเมืองไทย

การลาออกครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็น “แรงสะเทือนเงียบ” ต่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกพรรค ขณะที่ศรัทธาจากฐานเสียงภาคเหนือเริ่มสั่นคลอน และการบริหารที่ขาดเอกภาพกำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้บริหารพรรคชุดใหม่ต้องเร่งแก้ไข.