ถอดบทเรียน "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" สไตล์ไทย VS ต่างประเทศ
ถอดบทเรียน "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" สไตล์ไทย VS ต่างประเทศ นักวิชาการชี้ การร่วมมือ - ต่องรองกันระหว่างพรรคการเมือง เป็นเรื่องปกติไม่ใช่ความล้มเหลว
รัฐบาลเสียงข้างน้อย แม้จะถูกมองว่าเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ ที่ขาดเสถียรภาพ อ่อนแอ และสามารถโค่นล้มได้ง่าย แต่หากบริหารจัดการอย่างดีก็ใช่ว่า รัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่สามารถบริหารประเทศให้เป็นไปในทิศทางที่ดีได้ เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็มีเสน่ห์และข้อดี
รัฐบาลเสียงข้างน้อยในต่างประเทศ
รศ.ดร.ศิพิมพ์ ศรบัลลังก์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ มศว. ให้สัมภาษณ์กับโพสต์ทูเดย์ถึงกรณีดังกล่าว โดยยกกรณีตัวอย่างรัฐบาลเสียงข้างน้อยในต่างประเทศ ระบุว่า รัฐบาลเสียงข้างน้อยในต่างประเทศที่เพิ่งเกิดขึ้น คือ ในประเทศสวีเดน มีพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเช่น พรรคSocial Democrats ที่เป็นรัฐบาลเสียงส่วนน้อยที่ใช้วิธีการทำข้อตกลงกับพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็ก อย่างเช่น พรรคกลาง และพรรค Green เพื่อสนับสนุนงบประมาณและนโยบายหลักของรัฐบาล
อีกตัวอย่างนึงก็คือของแคนาดา สมัย Justin Trudeau ก็มีพรรคแกนนำรัฐบาลก็คือพรรค Liberal Party พรรคLiberal Party ใช้วิธีการที่รัฐบาลจะ ซึ่งเป็นรัฐบาลเสียงส่วนน้อยใช้วิธีการพึ่งพาการสนับสนุนจากพรรค NDP ในการผ่านกฎหมายและผ่านงบประมาณต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังมีกรณีของนิวซีแลนด์ คือพรรคของ Jacinda Ardern ที่เป็นผู้นำหญิง แต่เป็นที่รู้จักมากๆ พรรคแกนนำของรัฐบาลซึ่งชื่อว่าพรรคLabour Party วิธีการที่เขาใช้ก็คล้าย ๆ กัน คือใช้วิธีการทำข้อตกลงในบนหลักการที่เรียกว่า Confidence and supply กับพรรคอื่น ๆ อย่างเช่นพรรคนิวซีแลนด์เฟิร์ส และพรรคกรีน ในการที่จะผ่านเรื่องของงบประมาณและเรื่องของกฎหมายที่สำคัญต่างๆ
บทเรียนจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยในต่างประเทศ
ข้อสังเกตที่เราได้จากกรณีตัวอย่างของต่างประเทศ คือรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่อยู่รอดได้นั้น มักจะมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบร่วมมือในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Consensus Politic และระบบเลือกตั้งที่เอื้อต่อการมีหลายๆ พรรค ทำให้การต่อรอง มักเกิดขึ้นเป็นปกติ ปกติมาก และไม่ได้ถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวของพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแต่อย่างใด
เพราะว่าวัฒนธรรมทางการเมืองของต่างประเทศ เป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบร่วมมือกัน คืออาศัยเรื่องของฉันทามติ เรื่องของ Consensus (ความลงรอยกัน) ที่เขาเรียกว่าConsensus Politic ทำให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยสามารถอยู่รอดได้บนหลักการที่เรียกว่า Confidence and Supply
รัฐบาลเสียงข้างน้อยสไตล์ไทยในอดีต
ในอดีตประเทศไทยเคยมีรัฐบาลเสียงข้างน้อยช่วงประมาณปีทศวรรษ 2510 ที่รัฐบาลถูดพูดถึงบ่อย ๆ ก็คือรัฐบาลของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมท ในปี 2518 - 2519 ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างน้อย
ในเชิงการเมืองภาคปฏิบัตินั้นเราถือว่าเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพต่ำ และเกิดการต่อรองหลายครั้ง รัฐบาลนี้มีความต้องการที่จะต้องพึ่งพาความร่วมมือในการทำข้อตกลง รายครั้งกับพรรคอื่น ๆ ที่อยู่นอกคณะรัฐบาล การตกลงรายครั้งตรงนี้เป็นไปเพื่อผลักดันในเรื่องของการผ่านกฎหมายและงบประมาณ
"เมื่อเราพิจารณาแล้วจะเห็นว่ารัฐบาลลักษณะแบบนี้ในประเทศไทยมีเสถียรภาพที่เปราะบางมาก ๆ และมักจะจบลงด้วยการยุบสภาในเวลาไม่นาน"
รัฐบาลเสียงข้างน้อยสไตล์ไทยในปัจจุบัน
ในบริบทการเมืองปัจจุบัน พรรคร่วมรัฐบาลก็มีจำนวนสส. ในสภาผู้แทนน้อยกว่าฝ่ายที่ไม่ร่วมรัฐบาล ทำให้ไม่มีเสียงข้างมากเพียงพอในการที่จะผ่านกฎหมายหรือญัตติสำคัญได้ด้วยตัวเอง
ถ้าเรามองในบริบทปัจจุบันรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะต้องอาศัยการเจรจาและการสนับสนุนรายครั้งจากพรรคฝ่ายค้านหรือพรรคที่อยู่นอกคณะรัฐบาล ณ ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน และการบริหารโดยเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนก็อาจจะเกิดขึ้นได้ในทางเทคนิค แต่ก็ต้องไปเผชิญกับข้อจำกัดใหญ่ในเรื่องของการผ่านงบประมาณและกฎหมายที่สำคัญที่จะต้องใช้เสียงข้างมาก
นำไปสู่เรื่องของข้อตกลงความร่วมมืออย่างเช่น MOA ที่พรรคภูมิใจไทยทำกับพรรคประชาชน ซึ่งมันก็ถือว่าเป็น เป็นข้อตกลงที่คอยค้ำจุนรัฐบาลอยู่ ในขณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ก็จะมีผลกระทบที่เกิดกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ความยากในการผ่านกฎหมายและงบประมาณเมื่อไม่มีเสียงข้างมาก รัฐบาลก็จะต้องเจรจาเป็นรายครั้งหรือว่าเป็นรายวาระ ก็จะเสี่ยงต่อภาวะชะงักงันหรือว่าที่เรียกว่าเป็น deadlock ในทางการเมือง
โดยเฉพาะเวลาที่มีงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งกระทบกับการบริหารงานกับภาครัฐโดยตรงเสถียรภาพทางการเมืองก็จะมีความเปราะบาง ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากพรรคที่ไม่ร่วมรัฐบาลตลอดเวลา
ทำให้รัฐบาลนั้นอยู่ในภาวะต่อรองถาวร โดยเฉพาะหากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือว่ามีการอภิปรายรัฐมนตรีรายบุคคลที่รัฐบาลเสียงส่วนน้อยต้องพึ่งพาการยกมือไว้วางใจจากพรรคฝ่ายค้านต่างๆ ก็จะต้องมีการพึ่งพากัน ทำให้จะต้องเผชิญกับการโหวตไม่ไว้วางใจง่ายขึ้น
สุดท้ายเลยผลกระทบที่จะพบจากรัฐบาลเสียงส่วนน้อยก็คือนโยบายอาจจะถูกปรับลด จากที่นโยบายสวยหรูที่ฝั่งรัฐบาลวาดหวังหรือคาดหวังว่าจะต้องออกมาเป็นลักษณะแบบนี้ ตัวนโยบายก็อาจจะถูกปรับลดโทนลงมาให้มันเจือจางความเข้มข้นลง
สิ่งที่มันต้องเจือจางนั้นก็เป็นไปเพราะว่าต้องการแลกกับเสียงสนับสนุน จากพรรคอื่น เช่น พรรคขนาดกลาง พรรคขนาดเล็ก รัฐบาลก็จะต้องปรับแก้นโยบายให้เป็นที่ยอมรับได้ ในวงกว้างขึ้น ก็จะทำให้เอกภาพในเชิงนโยบายลดลง และการดำเนินงานก็อาจจะล่าช้าไปด้วยนี่เป็นสิ่งที่ป็นผลกระทบที่เกิดจากรัฐบาลเสียงส่วนน้อย


