รวมไทยสร้างชาติเผชิญปม21สส.แตกแถวสะเทือนปรับครม.แพทองธาร
ปมขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล 21 สส.รวมไทยสร้างชาติแตกแถว กระทบปรับคณะรัฐมนตรีแพทองธารกำลังสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลผสม
ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ยังคงผันผวนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองมากที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้นกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จริงกลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยอุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่ลงรอยในการเจรจาต่อรองตำแหน่งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และวิกฤตการณ์ภายในพรรครวมไทยสร้างชาติเองที่กำลังสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลผสม
การเจรจาที่ไม่ลงตัว: เงื่อนไขและข้อต่อรองที่ยังค้างคา
นับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดปัจจุบัน การแบ่งสรรอำนาจและตำแหน่งรัฐมนตรีระหว่างพรรคร่วมต่างๆ เป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยการประนีประนอมและการยินยอมของทุกฝ่าย การปรับ ครม. ที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงมิใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่เป็นการทบทวนและจัดสรรผลประโยชน์ทางการเมืองครั้งใหญ่อีกระลอกหนึ่ง
พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีบทบาทสำคัญและมีจำนวน ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎรเป็นจำนวนมาก การเจรจาต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีในรอบนี้จึงเป็นไปอย่างเข้มข้น มีรายงานข่าวและการวิเคราะห์ต่างๆ บ่งชี้ว่าพรรคภูมิใจไทยอาจต้องการเพิ่มจำนวนหรือปรับเปลี่ยนกระทรวงที่ดูแลอยู่ เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดของพรรคและผลงานที่ได้ดำเนินการมา
ขณะเดียวกัน พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในอดีต ก็เป็นอีกพรรคหนึ่งที่มีความสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล การเจรจาตำแหน่งรัฐมนตรีในส่วนของพรรคนี้จึงมีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองและขั้วอำนาจต่างๆ ที่สนับสนุนพรรคมาตั้งแต่ต้น
อุปสรรคสำคัญในการเจรจาปรับ ครม. ครั้งนี้อยู่ที่ความต้องการและข้อเสนอของแต่ละพรรคที่อาจขัดแย้งกัน การจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนจำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรค ความเหมาะสมของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่ง และความสมดุลทางการเมืองโดยรวม หากการเจรจาไม่สามารถหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายพอใจได้ ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะยาว
วิกฤตการณ์ภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ: ระลอกคลื่นใต้ผิวน้ำ
นอกเหนือจากความท้าทายในการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติเองก็กำลังเผชิญกับปัญหาภายในองค์กรที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นและเอกภาพของพรรค รายงานข่าวล่าสุดเปิดเผยว่ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคจำนวนถึง 21 คน ที่ไม่ได้ลงชื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค ในการเสนอชื่อเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
ปรากฏการณ์ดังกล่าวถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวลอย่างยิ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกและความไม่พอใจภายในพรรค อาจมีกลุ่ม ส.ส. บางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารจัดการพรรคในปัจจุบัน หรืออาจมีความขัดแย้งส่วนตัวและผลประโยชน์ที่ไม่ลงรอยกัน การที่ ส.ส. จำนวนมากแสดงท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์และความเข้มแข็งของพรรครวมไทยสร้างชาติ
ผลกระทบจากความขัดแย้งภายในพรรคไม่จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องการบริหารจัดการภายในเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการพิจารณาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค หากพรรคไม่สามารถแสดงความเป็นเอกภาพและมีมติร่วมกันในการเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสม ก็อาจทำให้การเจรจากับพรรคแกนนำเป็นไปด้วยความยากลำบาก และอาจส่งผลให้พรรคสูญเสียโอกาสในการได้ตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญ
นอกจากนี้ ความขัดแย้งภายในพรรคยังอาจบั่นทอนขวัญและกำลังใจของ ส.ส. และสมาชิกพรรคโดยรวม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพรรคในสภาผู้แทนราษฎรและการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ ในอนาคต หากปัญหาความขัดแย้งไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การแตกแยกภายในพรรคและการสูญเสียคะแนนนิยมในที่สุด
ผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลและอนาคตการเมือง
สถานการณ์การปรับ ครม. ที่ยังไม่มีความชัดเจน ควบคู่ไปกับวิกฤตการณ์ภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลผสมในปัจจุบัน
หากการเจรจาปรับ ครม. ยืดเยื้อและไม่สามารถหาข้อสรุปที่ทุกฝ่ายพึงพอใจได้ อาจนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจและความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายและการบริหารประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น ความแตกแยกภายในพรรครวมไทยสร้างชาติยังอาจสร้างความเปราะบางให้กับรัฐบาล หาก ส.ส. กลุ่มที่ไม่พอใจตัดสินใจแสดงออกอย่างชัดเจน หรืออาจมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเสียงสนับสนุนของรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร ก็อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่รัฐบาลต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาเสียงข้างมาก
ในภาพรวม สถานการณ์ทางการเมืองไทยในขณะนี้จึงอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การปรับ ครม. ที่กำลังจะเกิดขึ้นถือเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับรัฐบาลผสมว่าจะสามารถบริหารจัดการความสัมพันธ์กับพรรคร่วมและแก้ไขปัญหาภายในพรรคได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ผลลัพธ์ของการปรับ ครม. ครั้งนี้ จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญถึงเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะยาว และอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางทางการเมืองของประเทศไทยในอนาคต
การปรับ ครม. ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักลงทุน หากการปรับ ครม. เป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถนำบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศได้ ก็อาจช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลและขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ไปข้างหน้าได้ แต่หากการปรับ ครม. เต็มไปด้วยความขัดแย้งและผลประโยชน์ส่วนตัว ก็อาจซ้ำเติมปัญหาความไม่เชื่อมั่นและนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองที่มากขึ้น
ที่มาประกอบเนื้อหาข่าว เนชั่นอินไซต์