posttoday

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาคลี่คลาย ท่ามกลางแรงกดดันการเมือง

10 มิถุนายน 2568

สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มมีแนวโน้มคลี่คลายลง หลังทั้งสองฝ่ายมีการปรับกำลังทหารอย่างสงบ

สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุดเริ่มมีแนวโน้มคลี่คลายลง หลังทั้งสองฝ่ายมีการปรับกำลังทหารอย่างสงบ ลดความตึงเครียดและเปิดทางสู่การเจรจา โดยรัฐบาลทั้งสองประเทศได้เร่งสื่อสารกับประชาชนภายในประเทศ เพื่อยุติบรรยากาศแห่งความหวาดระแวง พร้อมยืนยันการไม่ใช้ความรุนแรง

แนวทางเจรจาแทนการเผชิญหน้า

หนึ่งในสัญญาณเชิงบวก คือการที่กัมพูชายอม “กลบแนวคู” ที่เคยสร้างไว้ในพื้นที่พิพาท และมีแนวทางจัดตั้งการ “ลาดตระเวนร่วม” ระหว่างสองประเทศ โดยรัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยืนยันว่าท่าทีของไทยคือการผลักดันเวที “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม” (JBC) เพื่อใช้กลไกทางการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศในการแก้ปัญหา

ทางด้านสมเด็จฮุนเซน อดีตผู้นำกัมพูชา และผู้มีบทบาทสูงในรัฐบาลปัจจุบัน ชี้แจงว่าการเคลื่อนย้ายกำลังไม่ใช่การ “ถอนทหาร” แต่เป็นการ “ปรับกำลังในดินแดนของตนเอง” พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวลือที่อาจบิดเบือนข้อเท็จจริง

เบื้องหลังการเมืองกับความขัดแย้งชายแดน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จำนวนมากตั้งข้อสังเกตว่าความขัดแย้งอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ โดยฝั่งรัฐบาลกัมพูชาเผชิญแรงกดดันจากคะแนนนิยมที่ลดลง ขณะที่รัฐบาลไทยเองกำลังเผชิญความเปราะบางภายในจากแรงกดดันเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีและภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

ประเด็นอธิปไตยจึงกลายเป็นเครื่องมือจุดกระแสชาตินิยม สร้างแรงสนับสนุนทางการเมือง และใช้เบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาอื่น โดยฝ่ายกัมพูชาพยายามเดินเกมระหว่างประเทศ ด้วยการเสนอให้ข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก ขณะที่ฝ่ายไทยยังคงยืนยันการใช้แนวทางเจรจาสันติวิธี เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะทั้งในสนามรบและสนามการเมือง
 

เบื้องลึก: การเจรจาลับและบทบาททหาร

รายงานระบุว่ามีการเจรจาลับระหว่างผู้นำระดับสูงของทั้งสองประเทศ ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลายลง ขณะเดียวกัน ฝ่ายทหารไทยได้จัดประชุมฉุกเฉินประเมินสถานการณ์ชายแดน โดยมีการถกถึงการเตรียมพร้อมต่อภัยคุกคาม รวมถึงความเป็นไปได้ของ “สถานการณ์ฉุกเฉินพิเศษ” หากความขัดแยงลุกลาม

การคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว ช่วย “ดับไฟ” กระแสรัฐประหารที่เริ่มก่อตัวในช่วงก่อนหน้า แต่ยังไม่สามารถสลายเงาความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศได้ทั้งหมด.

แม้สถานการณ์ชายแดนจะเริ่มกลับสู่ความสงบ แต่เงื่อนไขทางการเมืองในทั้งสองประเทศยังคงเปราะบาง ความขัดแย้งเชิงอธิปไตยจึงยังอาจกลายเป็นชนวนความตึงเครียดซ้ำได้ทุกเมื่อ หากถูกใช้เป็นเครื่องมือในเกมอำนาจอีกครั้ง ทั้งนี้ การเจรจาบนพื้นฐานของกฎหมายและความร่วมมือระดับทวิภาคี ยังคงเป็นหนทางที่รัฐบาลไทยยึดถือในการรักษาเสถียรภาพของประเทศและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน.

เนื้อหาประกอบรายงานข่าว เนชั่นอินไซต์