posttoday

จับตาเจรจาสหรัฐใช้ภาษีบังหน้า ขอใช้อู่ตะเภาตั้งฐานบิน

18 เมษายน 2568

จับตาทีมไทยแลนด์ เจรจาแก้ปัญหาสหรัฐจากนโยบายภาษีทรัมป์ หวั่น ถูกกดดันขอใช้ อู่ตะเภา เป็นฐานทัพสหรัฐ สร้างความเสี่ยงเผชิญหน้า 2 มหาอำนาจ

การรับมือกับนโยบายขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการยืนยันจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ทางสหรัฐฯได้ตอบรับการเจรจากับประเทศไทย โดยกำหนดวันเจรจาในวันที่ 23 เม.ย.นี้ เป็นการเจรจาในระดับรัฐมนตรี ฝ่ายไทยจะนำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นหัวหน้าทีมไทยแลนด์ในการพูดคุย ซึ่งมั่นใจว่าข้อเจรจาที่เราเตรียมการไว้จะเป็นข้อเสนอที่ดี ที่จะมีการพูดคุยกับทางสหรัฐฯให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายในลักษณะของ Win Win ร่วมกัน 

 

สำหรับแผนการเจรจาของรัฐบาล มีด้วยกัน 5 ด้าน คือ 


1 ความร่วมมือไทย-สหรัฐ เพื่อเป็นหุ้นส่วนธุรกิจอาหารสำเร็จรูป 
2 เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เช่น หมวดพลังงาน น้ำมัน อีเทน LNG เป็นต้น
3 การเปิดตลาดลดภาษี ลดอุปสรรคทางการค้า เช่น ลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้า ลดภาษีนำเข้าและผ่อนปรนโควตา ลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคนำเข้าปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร
4 การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า  โดยเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย ลดความเสี่ยงให้สินค้าส่งออกของไทยแท้ ถิ่นกำเนิดสินค้าของไทยเพื่อส่งออก  
5 ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐมากขึ้น เช่น ส่งเสริมภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจเพิ่มการลงทุนในสหรัฐ  ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 70 แห่งในกว่า 20 มลรัฐ สร้างงานกว่า 16,000 อัตรา  วงเงินลงทุนกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นภายใน 4 ปี ข้างหน้า อาทิ LNG ในรัฐอลาสกา 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ทางยุทธศาตร์ความมั่นคง มองว่า มาตรการและและแผนการเจรจาของรัฐบาลไทย เพื่อแก้ปัญหาที่รัฐบาลทรัมป์ใช้นโยบายการขึ้นภาษีนั้น ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงที่รัฐบาลสหรัฐต้องการ  สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐมีความต้องการมีความสำคัญในเชิงยุทธศาตร์ ด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างมาก มีเป้าหมายฝน 4 เรื่องใหญ่คือ 

1 สหรัฐต้องการใช้ฐานบินอู่ตะเภา เพื่อใช้สำหรับปฏิบัติการพิสัยไกล 
2 สหรัฐต้องการให้ไทยเปิดพื้นที่ศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยชายแดน ในบริเวณใกล้ชายแดนไทยพม่า
3 สหรัฐต้องการกดดันให้ไทยลดการพึ่งพาจีน ซึ่งถือเป็นลำดับความสำคัญเป็นอย่างมาก และ
4 สหรัฐมีเป้าต้องการให้ไทยซื้อเครื่องบินจากค่าย โบอิ้งสูงถึง 40-50 ลำ

ทั้งนี้ใน 4 ประเด็นหลัก นอกเหนือจากความต้องการขายเครื่องบินโบอิ้งแล้ว ประเด็นสำคัญที่สุดคือ การขอใช้ฐานบินอู่ตะเภาของกองทัพสหรัฐเพื่อใช้ปฏิบัติการพิสัยไกล  ในอดีต ในช่วงสงครามเวียดนามประมาณปี 1966–1976 สหรัฐเคยใช้ฐานบินอู่ตะเภาเป็นฐานทัพอากาศ เพื่อสนับสนุนภารกิจทางทหารในสงครามเวียดนาม 

 

มีการสร้างสนามบินอู่ตะเภาโดยความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เพื่อรองรับเครื่องบินทหาร โดยเฉพาะเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินลำเลียง เป็นหนึ่งในหลายฐานทัพอากาศของไทยที่สหรัฐฯ ใช้ เช่น อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา

 

ฐานบินอู่ตะเภา ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก เพราะด้วยภูมิศาสตร์ อู่ตะเภา เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในพื่นที่จังหวัดระยอง ติดชายทะเล ซึ่งการใช้อู่ตะเภาเป็นฐานบินสำหรับปฏิบัติการพิสัยไกล จะทำให้ สหรัฐเข้ามามีบทบาทสามารถคุมเชิงพื้นที่ได้ทั้งฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่ทะเลจีนใต้ ที่จีนค่อนข้างมีอิทธิพลในพื้นที่ดังกล่าว และ ฝั่งตะวันตก ในฝั่งทะเลอันดามัน หรือมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งทางฝั่งนี้ มีอินเดียที่เป็นประเทศใหญ่ครองอิทธิพลอยู่ และคุมเชิง เมียนมาร์ที่สหรัฐมองว่าจีนเข้ามามีอิทธิพลอยู่มาก นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ที่ใกล้กับช่องแคบมะละกา ที่เป็นช่องทางเดินเรือสำคัญในแถบภูมิภาคนี้ด้วย 

 

ความต้องการเข้ามาใช้อู่ตะเภาเป็นฐานการบินของสหรัฐ มีมาตลอดทั้งในช่วงรัฐบาลก่อนหน้า หรือในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา สหรับเคยขอใช้พื้นที่อู่ตะเภามาแล้ว  

 

ในปี 2564 บุคคลสำคัญของสหรัฐ เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทั้ง “เดวิด เอส โคเฮน” รองผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง สหรัฐอเมริกา หรือ ซีไอเอ "แดเนียล คริเตนบริงค์" ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านเอเชียตะวันออก “แอนโทนี บลิงเคน” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา แต่คนสุดท้ายยกเลิกกะทันหันเนื่องจากปัญหา “โควิด-19”

ก่อนหน้านั้น ก็มีความพยายามที่จะขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อเป็นฐานทัพเช่นกัน จนกระทั้ง รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์  ได้เดินหน้าโครงการสนามบินอู่ตะเภาใหม่ เป็น สนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ เชื่อมโยงกับ สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (EEC) เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับ จีน มหาอำนาจที่แผ่อิทธิพลอยู่ในแถบนี้เช่นกัน และถือเป็นการรักษาดุลไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง

 

ดังนั้น ในการเจรจาของทีมไทยแลนด์  ต้องจับตาดูให้ดีว่า สหรัฐฯจะกดดันโดยอ้างนโยบายขึ้นภาษีมาใช้อู่ตะเภาเป็นฐานการบินเพื่อใช้สำหรับปฏิบัติการพิสัยไกล และทีมเจรจาจะสามารถเจรจาเพื่อรักษาสมดุลย์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ให้ประเทศไทย กลายเป็นฐานทัพของอเมริกา ลดความเสี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับมหาอำนาจอย่างจีน ที่กำลังแผ่อทธิพลอยู่ในขณะนี้ และไม่กลายเป็นสนามการต่อสู้ช่วงชิงของ 2  มหาอำนาจได้อย่างไร 

ข่าวล่าสุด

LH Bank ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก “LHB OPD SAVER”