posttoday

การผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันเตา เสริมความมั่นคงด้านพลังงาน

15 พฤศจิกายน 2553

....มนูญ ศิริวรรณ

ปัญหาที่เผชิญหน้าประเทศไทยอยู่ในปัจจุบัน เกี่ยวกับความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าก็คือ การที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาพลังงานชนิดใดชนิดหนึ่งในการผลิตไฟฟ้ามากจนเกินไป โดยต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติสูงถึง 70% ของพลังงานทั้งหมดในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นประเทศที่ใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนที่สูงที่สุดในโลก จึงมีความเสี่ยงสูงมากที่เราไปพึ่งพาพลังงานชนิดเดียวในการผลิตไฟฟ้ามากจนเกินไป แทนที่จะกระจายความเสี่ยงไปยังเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น

นอกจากมีความเสี่ยงในเรื่องไปพึ่งพาพลังงานเพียงชนิดเดียวมากจนเกินไปแล้ว เรายังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการที่ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามาจากต่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านของเราเอง คือ ประเทศพม่า โดยเรานำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่ามาใช้ผลิตไฟฟ้าถึง 25% ของก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศ

จะเห็นว่าเรามีความเสี่ยงซ้ำซ้อนกันถึง 2 ประการ ในเรื่องของการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า นั่นคือการพึ่งพาพลังงานชนิดเดียวมากจนเกินไป และต้องพึ่งพาพลังงานจากภายนอกประเทศในการผลิตไฟฟ้า นั่นหมายความว่าความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ต้องขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สอดคล้องกันด้วยในเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เราจะไม่มีปัญหาด้าน นโยบายต่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่การที่เราต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างชาติในปริมาณมากๆ เพื่อมาผลิตไฟฟ้าย่อมไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องพยายามแสวงหาทางเลือกใหม่ๆ ในการผลิตไฟฟ้า โดยพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกอื่นๆ นอกเหนือจากก๊าซธรรมชาติมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า เพราะก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยก็มีแต่จะหมดไปในอีก 1520 ปีข้างหน้า เมื่อถึงเวลานั้นโรงไฟฟ้าก๊าซทั้งหลายก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งก๊าซ LNG ก็ต้องนำเข้าในราคาแพง ซึ่งทำให้ค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือเอฟที ต้องแพงขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต

พลังงานทางเลือกอื่นๆ สำหรับการผลิตไฟฟ้าเท่าที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้ก็มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ซึ่งแต่ละแบบก็ล้วนมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันออกไป ซึ่งก็ได้มีการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันมามากพอสมควรแล้ว ซึ่งผมเห็นว่าเราคงไม่สามารถจะจำกัดตัวเองอยู่ที่การพัฒนาโรงไฟฟ้าแบบใดแบบหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียวได้ คงต้องพัฒนาหลายแบบพร้อมกันไปเพื่อเป็นทางเลือก ไม่เช่นนั้นเราก็จะเจอปัญหาแบบเดียวกันกับโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังลม พลังแสงอาทิตย์ พลังชีวมวล ฯลฯ ล้วนเป็นโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยค่อนข้างสูง ถ้าพัฒนาขึ้นมามากๆ ประชาชนผู้ใช้ไฟก็ต้องเสียค่าไฟฟ้าสูงขึ้น (เหมือนกับผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศแถบยุโรปที่ต้องจ่ายค่าไฟแพง แลกกับการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด หรือ Green Power) ถ้าผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยเข้าใจและพร้อมที่จะยอมรับแบบนั้น ก็คงไม่มีปัญหา

แต่ถ้าเรายังไม่พร้อมและการพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหิน (สะอาด) โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ยังไม่ได้รับการยอมรับ ผมก็ใคร่เสนอทางเลือกของการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซธรรมชาติควบคู่กันไปกับน้ำมันเตา โดยปัจจุบัน กฟผ.จะสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก และบางโรงจะมีถังสำรองสำหรับเก็บน้ำมันเตาสำหรับกรณีฉุกเฉินเอาไว้เป็นเชื้อเพลิงสำรองเวลาก๊าซธรรมชาติมีปัญหา ไม่สามารถส่งมาได้ ก็ใช้น้ำมันเตาผลิตไฟฟ้าแทน โดยเหตุผลว่าการใช้น้ำมันเตาผลิตจะมีต้นทุนที่สูงกว่าก๊าซธรรมชาติ ซึ่งก็เป็นแนวทางบริหารเชื้อเพลิงที่ถูกต้อง เพราะต้องการให้ต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยถูกที่สุด

แต่ปัญหาที่ กฟผ. เจอคือในยามฉุกเฉินหรือในยามที่ก๊าซธรรมชาติขาดแคลน กฟผ.ก็ไม่สามารถจัดหาน้ำมันเตาจากบริษัทน้ำมันได้พอเพียงกับความต้องการ เพราะในเมื่อไม่มีสัญญาซื้อขายกันในปริมาณที่แน่นอนในแต่ละเดือน ทางโรงกลั่นน้ำมันหรือบริษัทน้ำมันก็ต้องระบายน้ำมันเตาที่กลั่นได้ในแต่ละเดือนส่งออกไปขายในต่างประเทศ โดยอาจไปทำสัญญาระยะยาวกับ Trader หรือผู้ส่งออก หรือผู้ซื้อในต่างประเทศเอาไว้ เมื่อ กฟผ.ต้องการน้ำมันเตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน บริษัทน้ำมันหรือโรงกลั่นน้ำมันก็ย่อมไม่มีน้ำมันมาส่งมอบให้ ดังนี้เป็นต้น

ดังนั้น ผมจึงใคร่เสนอว่า ไหนๆ กฟผ.ก็ต้องซื้อไฟฟ้าในราคาแพงจากโรงไฟฟ้าประเภทพลังงานทดแทนทั้งหลายในราคาที่มี Adder ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ถ้า กฟผ.จะพิจารณาว่าน้ำมันเตาก็เป็นเสมือนพลังงานทางเลือกชนิดหนึ่งสำหรับ กฟผ. ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่าพลังงานหมุนเวียนชนิดอื่นเสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นถ้า กฟผ.ทำสัญญาซื้อน้ำมันเตาจากโรงกลั่นน้ำมันหรือบริษัทน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ และใช้ผลิตไฟฟ้าควบคู่ไปกับก๊าซธรรมชาติในบางแห่งที่เหมาะสม ก็ไม่น่าจะเป็นภาระกับ กฟผ.มากมายนัก นอกจากนี้น้ำมันเตาเหล่านี้ยังเป็นน้ำมันเตาที่ผลิตมาจากน้ำมันดิบที่ขุดได้จากแหล่งน้ำมันดิบในประเทศ (น้ำมันดิบเพชรที่แหล่งกำแพงเพชร และน้ำมันดิบปัตตานีในอ่าวไทย) มีเปอร์เซ็นต์ซัลเฟอร์ต่ำ น่าจะเหมาะแก่การเอามาผลิตไฟฟ้ามากกว่าถ่านหินเสียด้วยซ้ำไป ข้อสำคัญจะช่วยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ และเสริมความมั่นคงทางด้านพลังงาน โดยลดการพึ่งพาพลังงานจากนอกประเทศไปด้วยครับ

ประเด็นที่ผมหยิบยกมานี้ ผมเชื่อว่าเราหนีไม่พ้นหรอกครับ เพราะถ้าเราสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและนิวเคลียร์ไม่ได้ เราก็เหลือทางเลือกอยู่เพียงแค่นำเข้าก๊าซ LNG และใช้น้ำมันเตาผสมน้ำมันดิบผลิตไฟฟ้าอย่างที่บางประเทศทำอยู่ในขณะนี้ เรื่องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม ยังไงๆ ก็ไม่มีทางพอหรอกครับ ถ้าคนไทยยังคงใช้ไฟกันแหลกลาญแบบนี้ ก็จะทำไงได้ รัฐบาลเขาใจดีให้ใช้ไฟฟรี แถมตรึงค่า FT ให้อีก ก็ต้องสนองเจตนารมณ์กันหน่อย ถูกไหมครับ!!!

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี