กลิ่นสร้างพิษ ละอองก่อโรค "น้ำขยะ" แพทย์ชี้ภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม
ตระหนักถึงโทษร้ายต่อสุขภาพจากภัยใกล้ตัวของ “ขยะ” ที่หมักหมมโดยไม่คัดแยกก่อนทิ้งจากแพทย์อาชีวอนามัย
ตระหนักถึงโทษร้ายต่อสุขภาพจากภัยใกล้ตัวของ “ขยะ” ที่หมักหมมโดยไม่คัดแยกก่อนทิ้งจากแพทย์อาชีวอนามัย
**************
โดย...รัชพล ธนศุทธิสกุล
สืบเนื่องจากกระแสแร็ปเปอร์ดังอย่าง “โจอี้บอย” หรือ “อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต” โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวหลังได้รับผลกระทบกลิ่นน้ำขยะที่ไหลลงพื้นฟุ้งนานหลายปี ก่อนที่จะตั้งคำถามถึงเชื้อโรคสามารถลอยตามมาด้วยหรือไม่?
ส่งให้ปัญหา “ขยะ” ที่หลายคนมองเป็นเพียงเชื้อร้ายมลพิษทางระบบนิเวศทางธรรมชาติอย่างเดียวนั้น ปลุกให้ได้ตระหนักขึ้นถึง “ภัยใกล้ตัว” ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย
แต่จะส่งผลร้ายมากน้อยแค่ไหน นายแพทย์ภัศภูมิ ธนิยะคุณากร แพทย์อาชีวอนามัย โรงพยาบาลแพทย์รังสิต จะมาช่วยชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับ “ขยะ” ให้เราได้ตระหนักดังต่อไปนี้
“น้ำขยะ” แค่ดมก็ป่วยได้
นายแพทย์ภัศภูมิ ธนิยะคุณากร แพทย์อาชีวอนามัย โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ให้ความรู้เบื้องต้นในเรื่อง “เชื้อโรคจากน้ำขยะ” สามารถปลิวตามลมเข้ามามีผลต่อร่างกายได้นั้น เกิดจากน้ำขยะมีแหล่งที่มาแตกต่างกัน อาทิ บ้านที่อยู่อาศัย ร้านค้าพาณิชย์ กระทั่งโรงงานอุตสาหกรรม ส่งผลให้เชื้อโรคมีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์มีรูปแบบและอายุชีวิตที่ทนสภาพแวดล้อมแตกต่างกันไป เพียงแค่ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่สามารถทำลายเชื้อเหล่านี้ได้หมด
“ขยะมูลฝอยจำพวกเศษอาหารเหลือทิ้ง ขยะติดเชื้อ พลาสเตอร์ปิดแผล ผ้าอนามัย ถุงยางอนามัย หรือขยะสารพิษเคมี อย่าง แบตเตอรี่ ยาฆ่าแมลง หลอดไฟ มันก็จะมีเชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย กระทั่งจุลินทรีย์ ซึ่งน้ำขยะที่พบส่วนใหญ่เกิดมาจากการหมักหมมของพวกของเสียต่างๆ ที่ไม่ได้คัดแยกขยะ ฉะนั้นเราก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะมีเชื้ออะไรอยู่บ้างในน้ำขยะหนึ่งหยดที่ตกลงพื้น มันก็จะส่งผลต่อเรื่องของเชื้อที่อายุมันไม่ได้มีเท่าเหมือนกัน เวลาโดนแสงแดด 15-30 นาที บางตัวเซลล์อาจจะตาย แต่บางชนิดที่ก็อยู่ได้นาน ทำให้เชื้อยังอยู่ที่เดิมจนกว่าจะตายไปเอง”
โดยผลกระทบจากน้ำขยะที่ถูกพัดมาตามกระแสลมอย่างแรกสุดเลยก็คือ “กลิ่น” ซึ่งส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจส่งผลให้ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้
“กลิ่นไม่พึ่งประสงค์ที่ลอยมากระทบระบบหายใจส่งผลต่อร่างกายของแต่ละคนต่างกัน โดยบางคนก็จะมีอาจจะมีแค่อาการคัดจมูกน้ำมูกไหล แต่บางคนได้กลิ่นมาทันทีก็จะเกิดอาการระคายเคืองตามเยื้อบุโพรงจมูกหรือตามหลอดลม เบื้องต้นก็อาจจะป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ขึ้นได้”
แพทย์อาชีวอนามัย โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ระบุอีกว่า นอกจากกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ “ละออง” ยังถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลมหอบติดมาส่งผลต่อร่างกายอีกด้วย โดยก่อให้เกิดพิษตั้งแต่อาการระคายเคืองกระทั่งเกิดเป็นสารพิษตกค้างในร่างกาย
“ในส่วนของนอกจากกลิ่นก็จะมามีละอองปลิวตามมาติดตามผิวหนังร่างกายด้วย ก็ทำให้เกิดการแพ้ คันตามผิวหนัง เกิดโรคผิวหนังพวกนี้ได้สำหรับขยะมูลฝอยทั่วไป แต่ถ้าเกิดเป็นขยะติดเชื้อหรือขยะสารพิษจะเกิดอันตรายที่มันรุนแรงกว่าพวกขยะทั่วๆ ไป จำพวกยาฆ่าแมลง แบตเตอรี่มือถือ ถ่านไฟฉาย พวกนี้ก็จะมีสารแมงกานีส ทำให้ร่างกายเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน มีอาการชา เป็นตะคริว ส่วนสารปรอท ทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนัง เหงือกบวมอักเสบ เลือดออกง่าย ปวดท้อง ท้องร่วงอย่างแรง มีอาการสั่น กล้ามเนื้อกระตุก และเป็นพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง รวมถึงการพิการแต่กำเนิดของหญิงตั้งครรภ์”
รับกลิ่น "บ่อย" ยิ่งเสี่ยงโรค
จากประเภทของขยะที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย “ระยะเวลา” ที่ร่างกายสูดดมและสัมผัสผ่านละอองเข้าไปยังเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับอันตรายที่ส่งผลต่อร่างกายในระดับโรคร้าย อาทิเช่น โรคมะเร็งต่างๆ ได้อีกด้วย
“บ้านเรือนที่vp^Jอาศัยที่มีที่เก็บขยะมากๆ หรืออยู่กับน้ำขยะ ตื่นเช้ามาก็สัมผัส กลับบ้านมาก็สัมผัส และในน้ำขยะมีสารพิษพวกนี้ปริมาณที่เยอะพอสมควร ก็จะเกิดอาการสะสมตามเนื้อเยื้อต่างๆ เป็นผื่นแดงบ่อยๆ ระคายเคืองบ่อยๆ อาจทำให้เซลล์เปลี่ยนแปลงไป และเมื่อเซลล์เปลี่ยนแปลงก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายส่งผลให้อาจเป็นโรคมะเร็งต่างๆ”
ทั้งนี้ทั้งนั้นโรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน บางคนเป็นเดือนถึงป่วย บางรายเป็นปีจึงได้รับผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อได้รับกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ในทุกๆ วัน แน่นอนว่าส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจ ทำให้อารมณ์หงุดหงิดง่าย จิตตก พอเครียดร่างกายแปรปรวนก็อ่อนยิ่งป่วยได้ง่ายขึ้น
และเมื่อพิเคราะห์จากรายงานข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษในปี 2559 คนไทยผลิตขยะพิษจากบ้านเรือนทั้งหมดประมาณ 6 แสนตัน ประกอบไปด้วย อิเล็กทรอนิกส์ 65% ขยะอันตรายอื่นๆ เช่น แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย ภาชนะบรรจุสารเคมี และกระป๋องสเปรย์ 35% นับว่าถือเป็นตัวเลขไม่น้อยที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นอย่างที่แพทย์อาชีวอนามัยกล่าว
“ก็อยากจะให้ช่วยกันตระหนักในเรื่องของการคัดแยกขยะที่เป็นการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ คือมันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว แต่ก่อนเราอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว แต่ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องใกล้ตัว ทุกๆ วันเรามีรถเก็บขยะมากมายในถนนแต่ละสายที่เราเดินทาง มีถังขยะมากมายที่เราเดิน ไม่สูดดมก็อาจจะมีเผลอสัมผัส วันดีวันร้ายพลาดลื่นล้มเกิดแผลถลอกจะต้องลุ้นเหมือนหวยว่าจะโดดแจ็คพอตได้รับเชื้อโรคอะไรจากน้ำขยะ บางคนนิดหน่อยได้รับเชื้อไม่แรงหรือบางคนอาจจะเป็นที่หนักกว่านั้นก็เป็นได้ แต่ถ้าเกิดเราช่วยกันแยกขยะ ทำให้มันดีขึ้น ปัญหามันก็จะลดลง” แพทย์อาชีวอนามัย โรงพยาบาลแพทย์รังสิต กล่าวทิ้งท้าย


