ตู้น้ำกินเหรียญ "ยักยอกทรัพย์” ชนิดซึมลึก
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
เป็นต้องฉุนกึกทุกทีเมื่อกดน้ำอัดลมจากตู้อัตโนมัตแล้วถูกกินเหรียญ มันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ หรือขำๆ ตามที่ใครหลายคนยอมละเลยหรือปล่อยผ่านโดยอ้างชะตากรรม ยิ่งถ้าหากเกิดขึ้นกับผู้ที่อยู่ในอาการหืดหอบกระหัดกระหายและเหรียญในกระเป๋ากางเกงมีอย่างจำกัดแล้ว นอกจากเงินตราที่ต้องเสียไปอย่างไร้ค่า ยังรวมไปถึงต้นทุนทางอารมณ์ที่ระอุอุ่นขึ้นชั่วพริบตา
มองออกไปรอบตัว ปรากฏตู้น้ำหยอดเหรียญอัตโนมัตหลายประเภท ทั้งน้ำอัดลมกระป๋อง เครื่องดื่มร้อนเย็นที่บริการเป็นแก้ว หรือแม้แต่น้ำดื่มที่จำหน่ายเป็นลิตร แน่นอนว่าปัญหานี้เกิดขึ้นโดยไม่เลือกหน้าเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย และไม่เลือกขนาดเหรียญ
คิดเอาเล่นๆ ว่า บริษัทประกอบการแห่งหนึ่ง มีตู้อัตโนมัตในครอบครอง 50 ตู้ หากในหนึ่งวันแต่ละตู้กินเหรียญไป 20 บาท นั่นเท่ากับว่าผู้ประกอบการจะเกิดรายได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนวันละ 1,000 บาท เดือนละ 30,000 บาท หรือปีละ 360,000 บาท
คำถามคือ ใครจะรับผิดชอบ? ... หรือต้องยอมจำนนและคิดว่าเป็นค่าเสียโอกาสทางสังคม
อิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะถือเป็นการสร้างสัญญาระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อหยอดเหรียญลงไปเท่ากับจ่ายเงินแล้ว แต่ผู้ขายไม่ให้สินค้า ก็จะเข้าข่ายยักยอกทรัพย์โดยทันที
หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ กล่าวต่อว่า ทุกตู้อัตโนมัติมักจะมีเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของตู้แสดงอยู่ ดังนั้นเบื้องต้นผู้เสียหายควรโทรไปเพื่อเจรจาว่าจะชดใช้อย่างไร แต่หากไม่มีความคืบหน้าใดๆ ให้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวัน จากนั้นนำหลักฐานส่งมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยมูลนิธิฯ จะช่วยไกล่เกลี่ยหรือดำเนินคดีให้ อาทิ การเรียกผู้ประกอบการมาเจรจาหาแนวทางเยียวยา หรือการฟ้องคดีผู้บริโภค ต่อกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ต่อไป
“ไม่ใช่เราเสีย 15 บาทแล้วเขาคืน 15 บาทแล้วจบไป มันต้องมากกว่านั้น ผู้ประกอบการที่ไม่รับผิดชอบควรได้รับบทลงโทษด้วย เพราะเรื่องนี้หากมองแยกส่วนอาจเสียหายเล็กน้อย แต่เมื่อหลายๆ เครสรวมกันความเสียหายก็จะมากขึ้น ที่สำคัญด้วยจำนวนเงินที่น้อย ทำให้ผู้บริโภคไม่ค่อยสนใจ เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการที่ไม่ดีใช้ช่องว่างตรงนี้แสดงหาผลประโยชน์อย่างมิชอบ”อิฐบูรณ์ ระบุ
สำหรับบทลงโทษในคดียักยอกทรัพย์ ผู้กระทำผิดระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 ซึ่งเป็นความผิดที่สามารถยอมความได้ และมีกำหนดอายุความ 10 ปี
ด้าน จิรชัย มูลทองโร่ย รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มองว่า ปัญหานี้เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในภาพกว้าง เพราะตู้กดน้ำอัตโนมัตมีให้บริการอย่างกว้างขวางเรียกได้ว่าทุกพื้นที่ของชุมชน และคนส่วนใหญ่ก็มักจะประสบปัญหาดังกล่าว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้คือยังไม่เคยมีผู้บริโภคร้องเรียนมาที่ สคบ. นั่นอาจเป็นเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แค่ 5 บาท 10 บาท ทั้งนี้เชื่อว่าหากมีคนเริ่มที่จะร้องเรียน ก็จะมีคนอื่นๆ อีกมากมายตามมา และปัญหาก็จะได้รับการแก้ไข
อย่างไรก็ตาม กรณีตู้น้ำกินเหรียญนั้นยังไม่ถือเป็นความผิดของผู้ประกอบการ โดยหากมีผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียน สคบ.ก็จะเชิญผู้ประกอบการเจ้าต่างๆ เข้ามาชี้แจงถึงสาเหตุของปัญหาและให้กลับไปปรับปรุงคุณภาพ พร้อมกันนี้ก็จะดำเนินการตรวจคุณภาพเป็นระยะด้วย
“คงต้องดูว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร คุณภาพของตู้กดน้ำ หรือการใช้ไม่ถูกประเภท แต่เมื่อกระทบต่อสิทธิผู้บริโภค เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ก็ยินดีรับเรื่องร้องเรียนที่สายด่วนผู้บริโภค 1166”เลขาธิการสคบ.ระบุ
เชื่อเถอะว่านอกจากตู้กดน้ำเหล่านี้แล้ว ปัญหาการกินเหรียญยังเกิดขึ้นวัสดุจำพวกตู้อีกหลายๆ ประเภท เช่น ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตู้บัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือ ตู้เกม ตู้ซักผ้าอัตโนมัต ฯลฯ
แต่ที่สุดแล้ว ถ้า “ผู้บริโภค” อย่างเราๆ ลุกขึ้นพิทักษ์สิทธิของตัวเอง ปัญหาเหล่านี้ก็คงจะหมดไป


