posttoday

"เล่นมือถือ-เมารถ-กลิ่นแก๊สรั่ว"ไขคำตอบอาการมโนถูก"มอมยา"

31 พฤษภาคม 2560

ไขข้อข้องใจจากปากนักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญถึงอาการผิดปกติทางร่างกายที่หลายคนมักคิดไปเองว่าถูกมอมยา เมื่อใช้บริการรถสาธารณะ

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

ข่าวหญิงสาวอ้างว่าถูกวางยาจนสลบไสลไม่ได้สติบนรถโดยสารสาธารณะ ปรากฎเป็นข่าวให้เห็นบ่อยครั้งในเมืองไทย

ล่าสุด สาวสวย รายหนึ่ง เล่าเรื่องราวผ่านสังคมออนไลน์ว่า เห็นคนขับแท็กซี่หยิบขวดน้ำสีเหลืองมาสูดดม ส่งผลให้เธอรู้สึกมึนศีรษะ ตาเบลอเเละรู้สึกชาตามร่างกาย สุดท้ายเห็นว่าอาการตัวเองไม่ดี เลยพยายามหาทางลงจากรถโดยสั่งให้คนขับจอด ก่อนจะเดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ในเวลาต่อมา โชเฟอร์หนุ่มออกมาเปิดเผยว่า ขวดน้ำสีเหลืองเป็นเพียงน้ำมันหอมระเหยเท่านั้น และไม่มีเจตนาคิดร้ายแต่ผู้โดยสารแม้แต่นิดเดียว

เหตุดังกล่าวนำไปสู่คำถามที่ว่า สรุปแล้วที่สาวๆ พากันอ้างว่า โดนคนร้ายมอมยา วางยาสลบผ่านช่องแอร์นั้นมีจริงไหมหรือเป็นแค่เพียงเรื่องที่มโนไปเอง

มอม โปะ ป้าย ไม่มีจริง

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยืนยันว่า การมอมหรือป้ายยานั้นไม่มีจริง การใช้ยาเพื่อให้คนสลบมีเพียงแค่วิธีรับประทานและฉีดเข้าร่างกายเท่านั้น โดยการกระทำที่พบบ่อยคือ นำยาเม็ดไปบดแล้วละลายน้ำ ผสมอาหาร หรือนำไปป้ายไว้ที่บริเวณหัวนม เมื่อเหยื่อใช้ลิ้นสัมผัสเข้าไปก็จะเกิดอาการสลึมสลือและสลบในที่สุด ส่วนวิธีอื่นๆ เป็นเพียงเรื่องที่ร่ำลือกันเท่านั้น

“ยาสลบจะออกฤทธิ์ได้ ตัวยาต้องเข้าไปในร่างกายและส่งผ่านสู่สมอง การรับประทานจะส่งผ่านระบบย่อยอาหาร ถูกดูดซึมเข้าสู่เส้นเลือดและส่งต่อไปยังสมอง ส่วนการฉีดเป็นวิธีนำเข้ากระแสเลือดโดยตรง”

อ.เจษฎา ขยายความต่อว่า หากร่างกายจะสลบเพราะการดม ต้องได้รับสารเคมีปริมาณมาก ที่เห็นในภาพยนตร์ใส่ในผ้าเช็ดหน้าและนำมาโปะเป็นเรื่องที่เกิดเฉพาะในภาพยนตร์เท่านั้น โลกแห่งความจริงสารตระกูลคลอโรฟอร์มและอีเทอร์ที่เป็นยาสลบ ต้องใช้ระยะเวลาออกฤทธิ์ค่อนข้างนานประมาณ 5-10 นาที และต้องใช้ปริมาณมาก ที่สำคัญหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงภายในรถคงต้องมีการต่อสู้ขัดขืนกันบ้าง

“ดมแล้วสลบทันทีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสภาพอากาศภายในห้องโดยสารมีการหมุนเวียนไปทั่วทั้งคัน และด้วยสถานปิดไม่ถ่ายเทหากมีการวางยาสลบในแท็กซี่จริง คนขับก็ต้องสลบกับผู้โดยสารด้วย เว้นแต่คนขับจะใส่หน้ากากป้องกันก๊าซพิษ”

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผู้โดยสารเกิดอาการมึนเมาและสะลึมสะลือนั้น อ.วิทยาศาสตร์ ไขข้อข้องใจว่า ผู้โดยสารเมารถโดยไม่รู้ตัว โชเฟอร์ขับรถโคลงเคลง ผู้โดยสารเล่นโทรศัพท์และจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน พฤติกรรมเหล่านี้นำไปสู่อาการเมารถได้ นอกเหนือจากนั้น ภายในรถอาจมีแก๊สรั่วจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์จนกลายเป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ซึ่งไม่มีกลิ่น ส่งให้คนที่ไม่เคยสูดดมเป็นประจำเกิดอาการอ่อนเพลีย มึนหัว

"ทางแก้คือ นั่งพักสูดดมอากาศที่สดชื่นจะทำให้รู้สึกดีขึ้น ส่วนที่คนขับไม่รู้สึกเนื่องจากสูดดมทุกวันจนเกิดความเคยชิน"

การวางยาสลบในรถแท็กซี่ไม่เป็นเรื่องจริง เช่นเดียวกับป้ายยาที่กระทบกับผิวหนังด้านนอกเท่านั้น ผิวหนังมนุษย์หนาและมีชั้นไขมัน การซึมผ่านไปถึงเส้นเลือดใหญ่จนเข้าสู่หัวใจเป็นเรื่องยากมาก หากทำจริงต้องใช้เวลานาน แต่มีโอกาสเป็นไปได้หากเลือกใช้ยาบางชนิดที่สัตวแพทย์ใช้กับช้าง ซึ่งมีความรุนแรงมากและคนป้ายอาจได้รับผลกระทบด้วย

ขณะที่อาการคล้อยตามมิจฉาชีพที่คนรู้สึกนั้น ไม่ได้เกิดจากยาป้าย แต่เกิดจากการถูกล่อลวงด้วยคำพูด ที่พยายามทำให้เหยื่อเกิดความสับสน

“มิจฉาชีพวกนี้ชอบสัมผัสร่างกายจนเหยื่อคิดว่าโดนป้ายยา จริงๆ ไม่ใช่ เป็นหลักจิตวิทยา การสัมผัสเป็นการสร้างความคุ้นเคย เมื่อผู้โดยสารถูกหลอก พอไปปรึกษาครอบครัวหรือตำรวจ บางคนกลัวว่า ถ้ายอมรับว่าถูกหลอกจะเสียชื่อ เลยอ้างว่าถูกป้ายยา ส่วนอาการที่บอกว่าเวียนหัว หายใจไม่ออก วิงเวียน เอาเข้าจริงถ้าไม่ถูกมอมด้วยการให้กินยา ที่เหลือเป็นอุปทานรู้สึกไปเองหรือถูกกระทำจนมีอาการอย่างที่ว่า”

"เล่นมือถือ-เมารถ-กลิ่นแก๊สรั่ว"ไขคำตอบอาการมโนถูก"มอมยา" รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

กิน-ฉีด วีธีเดียวทำให้สลบ

ศ.นพ.วิชัย อิทธิชัยกุลฑล ประธานราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์ แห่งประเทศไทย  ยืนยันเช่นเดียวกันว่า การมอมหรือป้ายยาสลบทางการแพทย์ไม่มีจริง เพราะการทำให้สลบต้องทำให้ตัวยาส่งไปถึงสมองและการป้ายยามีโอกาสน้อยมาก หากมีจริงวงการแพทย์ก็ต้องการนำมาใช้

“ยาป้ายกว่าจะดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังเป็นเรื่องยาก ผิวหนังคนเราเป็นตัวป้องกันที่ดีมาก มีเพียงยาชาที่ใช้ป้ายบริเวณผิวหนังก่อนใช้เข็มแทง หรือใช้สารทาผิวหนังเพื่อบรรเทาอาการปวดเท่านั้นที่อาจเป็นไปได้ แต่จะทำให้สลบหรือหลับยังไม่มี”

ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสัญญีแพทย์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์มิจฉาชีพที่ปรากฎเป็นข่าว หลอกให้รับประทานอาหารหรือน้ำดื่มจนมีอาการง่วง มักใช้สารประเภทยานอนหลับโดมิคุมหรือมิดาโซแลม แต่ใช้เวลาออกฤทธิ์พอสมควรราว 5-10 นาทีขึ้นไป นั่นหมายความว่า การป้ายยาเพื่อหวังผลให้สลบนั้นเป็นเรื่องยากมาก

“ตามหลักการแพทย์หากเกิดในรถซึ่งเป็นสถานที่ปิดก็เชื่อว่าคนขับหรือผู้ที่อยู่ภายในรถทุกคนต้องสลบไปด้วย เป็นไปไม่ได้ที่คนหนึ่งจะสลบและอีกคนไม่เป็นไร”

ศ.นพ.วิชัย บอกว่า ผู้ชอบอ้างว่ามีอาการมึน วิงเวียนศรีษะ เท่าที่เคยเก็บข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในแต่ละคดีทราบว่าคนไข้บางส่วนมีอาการผิดปกติทางสติและบางคนก่อนที่อ้างว่าถูกป้ายยามักจะรับประทานอาหารที่อาจมีผลมาก่อน  ขอยืนยันที่บอกว่าถูกป้ายยา จับซองบุหรี่หรือนามบัตร จนทำให้มีอาการง่วงนอนหรือสลบนั้น เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นทางแก้ดีที่สุดควรสูดอากาศบริสุทธิ์หรือเดินออกจากพื้นที่บริเวณนั้น

"เล่นมือถือ-เมารถ-กลิ่นแก๊สรั่ว"ไขคำตอบอาการมโนถูก"มอมยา"

 

 

"เล่นมือถือ-เมารถ-กลิ่นแก๊สรั่ว"ไขคำตอบอาการมโนถูก"มอมยา"

หยุดขยายข่าว-หาความจริง หนทางยุติความเชื่อผิดๆ

อ.เจษฎา กล่าวว่า ทางยุติความเชื่อเหล่านี้ ต้องแก้ที่สื่อเพราะเป็นตัวช่วยประโคมให้เกิดสีสัน โดยใช้ความน่ากลัวและความเร็วในการแข่งขัน หากไม่ประโคมข่าวและช่วยกันตรวจสอบ ชี้แจงเนื้อหาข้อเท็จจริงในหลากหลายแง่มุม เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้จะลดลง ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันมีแนวโน้มดีขึ้น

สำหรับผู้ที่มีอาการเวียนหัว เมารถ เมาแดด วิธีบรรเทาอาการที่ดีที่สุด คือ สูดอากาศบริสุทธิ์ เพื่อให้ร่างกายสดชื่นหรือขอลงจากรถเพื่อนั่งพัก สิ่งสำคัญคืออย่าดื่มหรือรับประทานอาหารจากคนแปลกหน้าเด็ดขาด ขณะเดียวกันควรหมั่นไปตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ เนื่องจากบางรายมีอาการเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัว

อ.เจษฎา เห็นว่า เรื่องนี้ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยเป็นสังคมเชื่อถือและคล้อยตามกันง่าย ไม่มีการตรวจสอบ ค้นหาความจริง ในทางกลับการไปถ่ายรูปรถหรือป้ายทะเบียนแท็กซี่แล้วนำไปโพสต์ต่อว่า โดนมอมยา เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เป็นการกล่าวหาปรักปรำโดยไร้หลักฐาน อยากให้ทุกคนปรับเปลี่ยนความคิดกันใหม่ ควรหาความจริงก่อนเสมอ

สรุปวินาทีนี้การมอมยาสลบโดยสูดดมและป้ายผ่านผิวหนังเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ยิ่งบนรถแท็กซี่ด้วยแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลย....มิจฉาชีพอาจไม่ใช่แท็กซี่แต่เป็นความรู้สึกนึกคิดของตัวคุณเอง  

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท