ทหารเมินเซ็นสัญญา กำแพงสูงขวางปรองดอง
การเมืองไทยว่าด้วยการสร้างความปรองดองกำลังเดินหน้าไปตามกระบวนการปกติหลังจากพรรคการเมืองกำลังทยอยให้ความเห็นต่อคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
การเมืองไทยว่าด้วยการสร้างความปรองดองกำลังเดินหน้าไปตามกระบวนการปกติ หลังจากพรรคการเมืองกำลังทยอยให้ความเห็นต่อคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองที่มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน
ภาพที่ออกมาไม่ต่างอะไรกับเมื่อครั้งที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงมือรัฐประหารใหม่ๆ เมื่อปี 2557 ซึ่งเวลานั้นได้เชิญทั้งพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในขณะนั้น คือ ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปของ คสช. (ศปป.)
ต่อมาเมื่อมีการตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปช.) ปรากฏว่าคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองมีกระบวนการในการทำงานก็ไม่ต่างจากอดีตมากนัก
กล่าวคือเป็นการเดินสายและเชิญผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายมาพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จนนำไปสู่การจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์ขึ้นมาหนึ่งฉบับและส่งไปที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติแต่อย่างใด
พอภารกิจของ สปช.เสร็จสิ้นก็ดูเหมือนว่าการเดินหน้าสร้างความปรองดองเงียบหายไปอยู่พักใหญ่ เพราะรัฐบาลเอาเวลาส่วนใหญ่ไปกับการบริหารราชการแผ่นดินและการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ กระทั่งปัจจุบันคำว่า “ปรองดอง” ถูกจุดเป็นกระแสอีกครั้ง
การปรองดองในรอบนี้ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ด้านหนึ่งเหมือนจะมีความคืบหน้า แต่ถ้ามองผิวเผินกลับไม่มีความคืบหน้าเท่าใดนัก เนื่องจากรัฐบาลกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งท่ามกลางคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เร่งดำเนินการตามที่มีรายงานข้อเสนอแนะที่ซุกอยู่ในลิ้นชักที่ทำเนียบรัฐบาล
หรือเป็นเพราะรัฐบาลกำลังหาเงื่อนไขซื้อเวลาไปเรื่อยๆ เพราะผู้นำ คสช.เคยประกาศออกมาว่า ถ้าประเทศยังไม่มีการปรองดอง ประเทศก็ไม่อาจมีการเลือกตั้งได้
อย่างไรก็ตาม มาถึงจุดนี้สถานการณ์เกี่ยวกับการทำงานเพื่อเสริมสร้างความปรองดองกำลังเจอเสี้ยนตำเท้าครั้งสำคัญ และอาจถึงขั้นไม่สามารถเดินหน้าไปได้ ภายหลังรัฐบาลแสดงท่าทีว่าทหารไม่ต้องไปทำสัญญาเพื่อความปรองดอง
“ไม่ต้องจับทหารมาทำสัญญา แต่ขอให้ทำสัญญากับตัวเองและประชาชนให้ได้ ว่าจะไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย วันนี้ยืนยันว่าไม่มีใครอยากทำ มันเสี่ยงอันตรายหากไม่สำเร็จก็เดือดร้อนกัน ผมถามว่าจะเป็นอนาธิปไตยหรือไม่
การปรองดองไม่ใช่นิรโทษแต่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง ขอให้ไปแก้สาเหตุไม่ใช่แก้ปลายเหตุ ที่ทหารต้องมาปฏิวัติทุกวันนี้เกิดจากอะไรขอให้ไปแก้ตรงนั้นให้เกิดการปรองดองทุกมิติที่ต้นเหตุคือ กระบวนการประชาธิปไตยที่มีปัญหา ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การศึกษาที่ไม่มีหลักคิด” ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ คสช.โยนแนวความคิดเรื่องการลงนามเอ็มโอยู เพื่อสร้างความปรองดองและสงบศึกระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่านของประเทศ ซึ่งนักการเมืองและแกนนำสีเสื้อจำนวนไม่น้อยพร้อมให้ความร่วมมือ แต่เมื่อมีการยื่นเงื่อนไขกลับไปว่าต้องให้กองทัพมาร่วมลงนามด้วย เพื่อเป็นหลักประกันว่าทหารจะไม่ทำการรัฐประหารอีก ทำให้รถไฟขบวนปรองดองต้องตกรางชั่วคราว
เหตุผลสำคัญที่ต้องการให้ทหารมาร่วมลงนามดังกล่าว เพราะทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าทหารเป็นหนึ่งในคู่ขัดแย้งทางการเมืองอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ จึงเห็นว่าในเรื่องการสร้างความปรองดองทหารไม่ควรทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ เนื่องจากมีส่วนได้ส่วนเสีย และเมื่อทหารไม่ยอมถอยออกมาจากการเป็นเจ้าภาพก็ควรร่วมลงนาม เพื่อสัญญาลูกผู้ชายว่าทหารจะไม่เข้ามาแทรกแซงทางการเมืองอีก
แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เมินเงื่อนไขดังกล่าว เพราะมองว่าทหารไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง ส่งผลให้กระบวนการสร้างความปรองดองสะดุดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะความหวาดระแวงระหว่างกันคงอยู่กันต่อไป
แม้ ณ เวลานี้พรรคการเมืองจะตอบรับเข้าร่วมกับพิธีการทางธุรการของทหารในการร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามคำเชิญของคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง แต่มีคำถามว่าการเข้าร่วมนั้นเป็นไปด้วยความเต็มใจหรือไม่ ในเมื่อทหารเดินหมากกระดานนี้ภายใต้หลักการ “ต้องได้ฝ่ายเดียว ไม่ยอมเสีย”
ในด้านภาพทางการเมืองปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นภาพที่ดี เพราะทุกฝ่ายและทุกพรรคได้ต่างพร้อมให้ความร่วมมือกับทหาร แต่นั่นก็เป็นแค่ภาพที่ปรากฏสู่สาธารณะ ทว่าวิเคราะห์ไปถึงภายในแล้ว ย่อมเต็มไปด้วยความหวาดระแวงรอบด้าน เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วการรัฐประหารจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
ด้วยสภาพแบบนี้ในระยะยาวการปรองดองที่กำลังขับเคลื่อนกันอยู่จะเป็นเพียงพิธีกรรมที่ประกอบขึ้นเพื่อให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น โดยที่ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้รับการแก้ไข เนื่องจากฝ่ายรัฐบาลใช้แต่พระเดชไม่ใช้พระคุณ สถานการณ์จึงอยู่ในความอึมครึมและไร้ทางออกอยู่อย่างนี้
สุดท้ายปัญหาทั้งหมดจะถูกซุกไปอยู่ใต้พรมเหมือนเดิมและรอวันปะทุอีกครั้ง


