เปลือยชีวิตสุดอาภัพของแท็กซี่ดวงซวย "ชรินทร์ ช้ำเกตุ"
เปิดใจอดีตโชเฟอร์แท็กซี่แพะคดีปล้นทรัพย์-ข่มขืน ติดคุกฟรี 9 วัน ถูกแทงคอเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เรื่อง...อินทรชัย พาณิชกุล / ภาพ...ภัทรชัย ปรีชาพานิช
ดวงตาใสๆ รอยยิ้มซื่อๆ คำพูดคำจาอ่อนน้อม จริงใจ ไร้เล่ห์เหลี่ยม ชวนให้รู้สึกได้ทันทีว่า ชายผู้นี้เป็นคนไม่มีพิษมีภัยกับใคร
แต่ไม่น่าเชื่อว่า ชายหนุ่มสู้ชีวิตผู้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินสุจริตเลี้ยงลูกเมีย กลางวันเป็นพนักงานโรงแรม กลางคืนหาลำไพ่พิเศษด้วยการขับแท็กซี่มิเตอร์ จะต้องประสบกับโชคร้ายแสนสาหัสหลังตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อปี 2555 ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร้ายปล้น-ข่มขืนผู้โดยสาร ถูกสังคมประณามสาปแช่ง ต้องติดคุกฟรีถึง 9 วัน
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดในอีก 4 ปีถัดมา หลังทิ้งฝันร้ายแต่หนหลังไว้กับอดีต เริ่มต้นชีวิตใหม่หวนกลับมาขับแท็กซี่อีกครั้ง กลับเจอวัยรุ่นใช้มีดแทงคอชิงทรัพย์ ทว่ารอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์
วันนี้เขาเลิกขับรถแท็กซี่อย่างถาวร แต่ยังต้องเผชิญกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน
นี่คือเรื่องราวชีวิตของ ชรินทร์ ช้ำเกตุ อดีตโชเฟอร์แท็กซี่ ผู้ที่ถูกมองว่าเป็น "คนดวงซวย"
ชีวิตต้องสู้...จากกรรมกรก่อสร้างสู่พนักงานโรงแรม
ชีวิตของเขาต้องทำงานคลุกฝุ่นคลุกดิน อาบเหงื่อต่างน้ำมาตลอด
ชรินทร์ ช้ำเกตุ เกิดที่อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ฐานะครอบครัวยากจนข้นแค้น ต้องเช่านาคนอื่นทำ มีเพียงกระต๊อบมุงจากหลังเดียวไว้เป็นเรือนนอน เรียนจบถึงชั้นม.1ต้องออกกลางคัน เพราะพ่อแม่ที่ไม่มีเงินส่งเรียนต่างอำเภอ สุดท้ายตัดสินใจออกมาช่วยทำงานหาเลี้ยงครอบครัว
"อายุได้ 13-14 ปี ก็มาเป็นกรรมกรในแคมป์ก่อสร้างที่สมุทรสาคร ขนไม้ แบกอิฐ ผสมปูน ผูกเหล็ก ได้ค่าแรงวันละ 50 บาท ใจก็คิดอยากก้าวหน้า ขอเรียนเป็นช่างไม้ ช่างปูน ช่างเชื่อมซื้อกระทิงแดงแลกเป็นค่าวิชา จนกระทั่งต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นช่าง ขยับเป็นหัวหน้าช่าง เงินเดือน 130 บาท แต่พ่อผมเกิดทะเลาะกับโฟร์แมนเลยต้องโดนไล่ออกมาจากแคมป์"
อพยพครอบครัวมาเช่าบ้านอยู่แถวรามคำแหง ชรินทร์ในวัย 20 ปีบริบูรณ์ ยังไม่มีเป้าหมายในชีวิต จึงไปสมัครเข้าคอร์สอบรมบุคลิกภาพ จากเด็กบ้านนอกตัวดำๆ ขี้อาย เริ่มกล้าพูดกล้าแสดงออก มั่นใจในตัวเอง ต่อมาสมัครทำงานในธุรกิจขายตรงซึ่งกำลังบูมสุดขีด แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เบนเข็มไปเป็นทำงานร้านเช่าวีดีโอ ทำเพียงได้ปีเศษต้องประสบกับวิกฤติฟองสบู่แตกปี 2540 บวกกับกระแสวีซีดีเข้ามา สุดท้ายเจ๊งไม่เป็นท่า
"จากนั้นไปเป็นยามที่โรงแรมไดนาสตี้ ซอยรามคำแหง 35 ใส่เครื่องแบบเต็มยศ โบกรถ เฝ้าตึก เพราะรักความก้าวหน้าอีกนั่นแหละ เห็นว่าเจ้าของโรงแรมเป็นคนจีน มีแขกชาวจีนมาพักเยอะ จึงไปหาหนังสือสอนภาษาจีนมาอ่าน หัดท่องจำทุกวันจนพอสื่อสารได้ วันหนึ่งผู้จัดการโรงแรมเดินผ่านมาเห็นผมกำลังสื่อสารกับแขก เขาเข้ามาตบบ่าชมว่าดีมาก อยากเป็นพนักงานโรงแรมไหม อีกสามสัปดาห์ต่อมามีคำสั่งให้ผมย้ายมาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยในโรงแรม ใส่สูท ผูกไทด์เท่ๆ ทำได้ 2 ปีก็ย้ายมาโรงแรมชื่อมิดเดิ้ลอีสต์ซาฮาร่า ย่านสุขุมวิท ทำหน้าที่พนักงานคอมพิวเตอร์ธุรการ ที่นี่ทำนานถึง 15 ปี ตอนนั้นอายุ 35 มีเมีย ลูกอีกหนึ่ง รู้สึกว่าเงินเดือนน้อยไม่พอเก็บ ไม่มีเงินก้อน จึงคิดหารายได้เสริม มีคนแนะนำให้ไปดาวน์รถแท็กซี่มือสองมาขับหลังเลิกงาน ผมขับตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน ชอบนะ มีอิสระ ทำมากได้มากทำน้อยได้น้อย ขับได้ปีเศษกำลังมีความสุข ไม่นึกเอะใจเลยว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นกับตัวเอง"
น้ำเสียงขาดห้วนไปดื้อๆ ถอนหายใจยาว มือทั้งสองข้างถูไปมาอย่างคนตื่นกลัว
อนาคตดับวูบ...ตกเป็นแพะคดีปล้นข่มขืน ติดคุกฟรี 9 วัน
วันที่เปลี่ยนชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าเขาจำได้แม่นยำไม่มีวันลืม
"วันที่ 1 ก.ค.2555 เป็นวันอาทิตย์ขณะกำลังนั่งรถไปทำบุญที่จ.ชัยนาท ก็มีเพื่อนโทรเข้ามาบอกว่า ตำรวจสน.ลาดกระบังแจ้งว่า รถแท็กซี่ของผมไปก่อเหตุหลายคดี ทั้งปล้นทรัพย์ ข่มขืน กักขังหน่วงเหนี่ยว พยายามฆ่า รู้สึกเฉยๆนะ ตลกด้วยซ้ำ ยังบอกไปเลยว่าโอ๊ย ไม่ใช่แล้ว ผิดคนมั้ง (หัวเราะ) ตำรวจถามว่าผมอยู่ไหน เลยตอบไปว่าอยู่ชัยนาทครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเข้าไปที่สน.เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตอนนั้นไม่กลัวเลย ปกติมาก เพราะรถก็จอดอยู่ที่บ้านตลอด พยานก็มีเยอะแยะ รุ่งขึ้นนั่งแท็กซี่ไปโรงพัก ตำรวจสอบสวนนานมาก พอถึงขั้นตอนชี้ตัวปรากฎว่าผู้เสียหายทุกคนชี้ตัวผมหมด
จุดเปลี่ยนชีวิตเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น ผมเริ่มเอะใจ ไม่เคยเห็นหน้าผู้เสียหายเหล่าเลยสักคน แต่ทำไมทุกคนชี้มาที่เราหมด คนนี้แหละใช่ คนนี้แหละค่ะที่ข่มขืนหนู ร้องไห้ด้วย งงมาก ตอบปฏิเสธไปว่าผมไม่ได้ทำ ตอนนั้นไม่รู้ว่าต้องเรียกทนาย ไม่รู้ขั้นตอนกฎหมาย สุุดท้ายผมกลับเป็นผู้ต้องหา เขาพาไปอีกห้องมีโต๊ะแถลงข่าว นักข่าวมารอเป็นร้อย แสงแฟลชวูบวาบไปหมด นายตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาด่าผมหยาบๆคายๆ เงื้อมือทำท่าจะตบ ตอนนั้นผมนิ่งมาก เพราะคิดอะไรไม่ออก มึนตึ้บไปหมด นักข่าวถามอะไรมาก็ตอบอย่างเดียวผมไม่ได้ทำครับ แต่ในหัวคิดตลอดเวลาว่าแล้วจะทำยังไง ทนายก็ไม่มี กฎหมายก็ไม่รู้ ญาติผู้ใหญ่ที่จะมาสู้กับเขาก็ไม่มี สุดท้ายโดนส่งตัวไปฝากขังที่เรือนจำ
ชรินทร์ เล่าว่า 9 วันที่อยู่ในคุกถือเป็นประสบการณ์เลวร้ายไม่ต่างจากตกนรก
"ผมรับสภาพตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ทำผิดแต่กลับถูกตัดสินจำคุก กินข้าวไม่ลง ป่วยเป็นไข้ ทุกวันจะไปยืนเกาะลูกกรงหน้าหอกระจายเสียงรอให้เรียกชื่อเราว่าญาติมาเยี่ยม วันไหนมีคนมาเยี่ยมก็เหมือนต่อชีวิตไปได้อีกวัน วันไหนไม่มาก็ไปแอบร้องไห้คนเดียวจนเพื่อนนักโทษต้องมาปลอบ ผมเกือบจะฆ่าตัวตาย เพราะไม่อยากเป็นภาระใคร กราบศาลพระภูมิ กราบแผ่นดิน ฝากพระแม่ธรณีว่าช่วยไปจับคนร้ายตัวจริงด้วยเถิด ช่วงอยู่ในคุก พี่ชายวิ่งเต้นหาหลักฐาน ได้คลิปวีดีโอมีภาพเราตอนไปทำบุญที่วัดอัมพวัน วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านแทบจะมาเป็นพยานให้ แต่ข้อมูลเหล่านี้ไม่ช่วยอะไรเลย ผมน้อยใจกระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน น้อยใจการสอบสวนของตำรวจต้นเหตุที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้ เมียมาเยี่ยมบอกว่าเพื่อนบ้านหนีหน้า บางคนไม่ยอมให้ลูกมาเล่นกับลูกเรา เพราะพ่อมันเป็นโจร โอ้โห เจ็บปวดที่สุดในชีวิต ถ้าเป็นเราทนได้อยู่แล้ว แต่นี่ครอบครัวเราโดนหางเลขไปด้วย ทั้งที่เขาไม่เกี่ยว"
โชคชะตาไม่โหดร้ายจนเกินไปนัก ความยุติธรรมมีจริงแม้จะมาช้า หลังจากนั้นไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายตัวจริงได้ เนื่องจากย่ามใจก่อเหตุซ้ำ จึงเร่งเดินเรื่องยกฟ้อง ก่อนนำตัวผู้บริสุทธิ์ออกจากเรือนจำโดยเร็วที่สุด
"วันสุดท้ายที่อยู่ในคุก ประมาณทุ่มนึง เขาประกาศรายชื่อคนที่จะได้ออก พอได้ยินชื่อชรินทร์ ช้ำเกตุเท่านั้นแหละ ผมกระโดดตัวลอยเลย วันนั้นตำรวจนายหนึ่งขับรถไปรับที่เรือนจำ เขาขอโทษที่ปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดและขอร้องว่าอย่าฟ้องกลับ ผมคิดตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าคุกแล้วว่า จะไม่ขอฟ้องร้องใครทั้งสิ้่น ขอแค่อิสรภาพกลับไปหาครอบครัว กลับทำมาหากินไปวันๆเท่านั้นพอแล้ว ไม่อยากได้เงินใครเพราะมันเป็นเงินบาป คิดเสียว่าเป็นกรรมของตัวเอง เราชดใช้หมดแล้ว ส่วนใครทำกรรมกับเราไว้ เขาก็ต้องไปชดใช้ของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว"
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขณะนั้น ตั้งโต๊ะแถลงข้อเท็จจริง พร้อมมอบเงินส่วนตัวจำนวน 20,000 บาทเป็นการเยียวยาชดเชย
"พอเห็นหน้าลูกเมีย พ่อแม่พี่น้อง เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เหมือนได้ชีวิตใหม่กลับคืนมาอีกครั้ง มีคนยุให้ฟ้อง ผมบอกไม่เอาแล้ว จบดีกว่า มีผู้เสียหายที่ชี้ตัวเราหลายคนโทรมาขอโทษ อยากจะนัดเจอ จะเลี้ยงข้าว จะให้เงิน ผมให้อภัยทุกคน ไม่โกรธอาฆาตแค้น แต่อย่ามาเจอกันเลยดีกว่า ขอให้เรื่องราวทุกอย่างจบเพียงเท่านี้"
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด...ถูกแทงคอเกือบตาย สุดท้ายตัดสินใจเลิกอาชีพแท็กซี่
เมื่อกลางเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ปรากฎข่าวสะเทือนขวัญกลางกรุง เมื่อแก๊งวัยรุ่นชายสองคนก่อเหตุใช้มีดแทงคอโชเฟอร์แท็กซี่เพื่อหวังชิงทรัพย์ สุดท้ายถูกจับกุมได้ ผู้ต้องหาทั้งคู่อายุเพียง 13 และ 14 ปีเท่านั้น
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ โชเฟอร์แท็กซี่เคราะห์รายมีชื่อว่า ชรินทร์ ช้ำเกตุ ... แท็กซี่ดวงซวยคนนั้นนั่นเอง
"หลังออกจากคุก ผมถอดใจแล้วว่าคงไม่กลับมาทำอาชีพนี้อีก เพราะรายได้ก็ไม่ได้เยอะอะไรมาก ไหนจะค่าแก๊ส ค่าซ่อม ไหนจะความเครียด แต่พี่ชายเขายุให้กลับมาขับ เพราะงานอิสระ เลือกขับรถช่วงเวลาหัวค่ำหน่อยก็ไม่น่ามีอะไรน่าห่วง ผมจึงไปเช่าแท็กซี่มาขับได้ 2 อาทิตย์ ความอุ่นใจเริ่มกลับมา แต่ที่ไหนได้รอบนี้หนักกว่ารอบที่แล้วอีก เล่นเอาเกือบตาย"ชรินทร์หัวเราะขมขื่นให้กับชะตาชีวิตของตัวเอง
ดึกดื่นคืนนั้น โชเฟอร์คนซื่อรับผู้โดยสารวัยรุ่นชาย 2 คน จากแยกเทพารักษ์ สมุทรปราการ เพื่อไปส่งที่ซอยสุขุมวิท 62 ด้วยความที่ไม่เคยปฏิเสธผู้โดยสาร บวกกับนิสัยมองโลกในแง่ดี วัยรุ่นสองรายนี้ยังเป็นแค่เยาวชน ไร้วี่แววโจร จึงขับรถอย่างสบายใจ ... แต่เขาคิดผิดมหันต์
"ตอนนั้นผมสังเกตเห็นว่าพวกเขาเอียงคอคุยกันซุบซิบๆ แต่ก็ไม่เอะใจ พอถึงจุดหมายเป็นซอยเปลี่ยว คนหนึ่งบอกเพื่อนว่า เดี๋ยวมาแป๊บนึง เข้าไปเอาเงินก่อน แล้วเปิดประตูลงไป สัญชาตญาณคนขับแท็กซี่ก็ต้องมองกระจกข้างว่าอยู่บ้านหลังไหน จะชิ่งค่าโดยสารเราหรือเปล่า จังหวะเอี้ยวคอไปมองอีกคนก็แทงเข้ามา เลือดพุ่ง ชาไปหมด เขาแทงซ้ำ ผมเอามือปัดตะโกนร้องขอชีวิตว่าจะเอาอะไรให้หมดเลย ให้เงินสดไป 400 เขาจะเอากุญแจ เราก็บิดกุญแจยื่นให้ แต่จังหวะนั้นก็เอื้อมไปปลดล็อคแล้ววิ่งหนีลงจากรถ เอามือปิดคอห้ามเลือดไว้ด้วย จนมีคนมาช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล"
แม้เสียเลือด แต่คมมีดที่ทิ่มแทงเข้าไปในลำคอไม่ลึกมาก โชเฟอร์หนุ่มรอดตายราวปาฏิหาริย์
"ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะถามเขาว่า ทำไมต้องถึงขนาดเอาชีวิตกันด้วย เขารู้ไหมว่าผมมีครอบครัว มีพ่อแม่ลูกเมียต้องดูแล ทำไมไม่จี้เอาเฉยๆ ผมก็ให้หมดทุกอย่าง เงิน โทรศัพท์ แม้แต่รถก็เอาไปเถอะ ทำไมต้องฆ่ากันด้วย คนขับแท็กซี่ก็ไม่ได้มีเงินติดตัวเยอะแยะมากมายอะไรเลย ตอนนั้นมีคนกันเยอะว่า ทำไมแกซวยจังวะ ดวงซวยเหลือเกิน เจ้านาย พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง ลูกเมีย ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าให้เลิกขับแท็กซี่เหอะ เราคงไม่ถูกโฉลกกับอาชีพนี้ จะหยิบจับอะไรก็เจอแต่เรื่องไม่ดีถึงขั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอด ผมก็คิดว่าน่าจะจริง เลยคิดว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะขับแท็กซี่ เพราะครั้งหน้าเราอาจไม่รอด"
ในที่สุด ชายหนุ่มผู้ทำมาหากินสุจริตด้วยการขับแท็กซี่ก็จำต้องยุติอาชีพนี้ลงอย่างน่าเศร้า
อุทาหรณ์สอนใจสังคมไทย...แม้น้อยใจชะตาชีวิตแต่ไม่คิดเลิกทำดี
ปัจจุบัน ชรินทร์หันมาช่วยพี่ชายขายก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง เครื่องดื่ม ชา กาแฟอยู่ภายในศูนย์อาหารของอาคารริชมอนด์ สุขุมวิท 26 ภายใต้ความหวังว่าวันข้างหน้าอยากจะเปิดแผงขายอาหารเล็กๆของตัวเองบ้าง
วันนี้ครบรอบ 4 ปีของเหตุการณ์ตกเป็นแพะ และหนึ่งเดือนที่รอดชีวิตจากการถูกปล้น รอยแผลเป็นที่คอยังเห็นเด่นชัด เช่นเดียวกับรอยแผลในหัวใจที่ยังคงฝังแน่น
"การที่เราตกเป็นข่าวใหญ่ ความซวยของเราก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ทำให้สังคมรู้ว่า อาชีพแท็กซี่นั้นมีความเสี่ยงอันตราย ผมอยากให้พี่น้องแท็กซี่ทุกคนตื่นตัว รู้จักระมัดระวังตัวกันเอาไว้บ้าง ของพวกนี้มันเผลอไม่ได้ ทุกคนก็มีคนข้างหลังรออยู่ แต่ถึงจะระวังตัวที่สุดอย่างผมยังพลาดได้ บางทีผมอาจมองโลกแง่บวกเกินไป คิดว่าโลกนี้ไม่มีใครเลว คงไม่มีใครทำร้ายเราหรอก เพราะผมไม่เคยทำร้ายใคร ดังนั้นสิ่งร้ายๆคงไม่น่าเกิดกับเรา แต่มันก็เกิดจนได้ ผมอยากให้ชีวิตของผมเป็นบทเรียนให้แก่สังคมว่า อย่าให้ใครต้องตกเป็นแพะอีก"
ความทรงจำเลวร้ายที่ผ่านมาในชีวิต ชรินทร์มองว่าอาจเป็นเรื่องเวรกรรมที่ต้องชดใช้ จากนั้นก็เร่งทำความดีต่อไป
"ผมพยายามคิดในแง่บวกว่า มันอาจจะเป็นเคราะห์กรรมของเรา เราอาจไปทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องชดใช้ไปให้หมด ต่อจากนี้ไปสิ่งดีๆมันคงเข้ามาบ้าง เราทำงานสุจริต ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว ขับแท็กซี่ก็ขับปลอดภัย ไม่หวาดเสียว สุภาพกับผู้โดยสาร ไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง ใครรถเสีย มีปัญหาก็จอดช่วยหมด ก็ได้แต่หวังว่าหลังจากเจอเรื่องร้ายๆมาหนักๆ ก็น่าจะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตบ้าง"
อดีตแท็กซี่หนุ่มผู้อาภัพ สารภาพจากก้นบึ้งของหัวใจว่า บ้างครั้งรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง น้อยใจโชคชะตา แต่ความคิดที่จะทำมาหากินสุจริต เป็นพลเมืองดีของสังคมนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ชีวิตต้องพานพบกับโชคร้าย แต่เขาจะยังทำดีต่อไป ด้วยเชื่อว่าสักวันคงได้ดี


