Compliance… ประเทศ
เมื่อเดือนที่แล้ว ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งคือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สั่งอายัดทรัพย์สิน 44 บริษัท มูลค่า 200 ล้านบาท
โดย...น.ต.วรวิทย์ เตชะสุภากูร ร.น. นักประสานและบริหารจัดการ
เมื่อเดือนที่แล้ว ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งคือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สั่งอายัดทรัพย์สิน 44 บริษัท มูลค่า 200 ล้านบาท เพราะบริษัทเหล่านั้นไม่ได้จ้างคนพิการเข้าทำงานตามหลักเกณฑ์สัดส่วน 100:1 เราๆ ท่านๆ เพิ่งเคยได้ยินข่าวแบบนี้ แต่นี่คือตัวอย่างหนึ่งของ Compliance
Compliance เป็นคำที่ผมเองซึ่งเคยอยู่ในแวดวงราชการมา เพิ่งจะรู้จักมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ในขณะที่เพื่อนๆ ในภาคเอกชนดูจะคุ้นเคยกับคำคำนี้มากกว่า ใช้ทับศัพท์กันจนชินความหมายที่พูดให้ง่ายและเข้าใจCompliance น่าจะหมายถึง การปฏิบัติตามหรือปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อกำหนดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบ ข้อบังคับภายในขององค์การ ตลอดจนกฎหมายฉบับต่างๆ เรื่อยมาจนถึงมติคณะรัฐมนตรี แนวปฏิบัติที่คณะกรรมการหรือหน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจหรือมีความรับผิดชอบออกข้อกำหนดนั้นๆ มาเพื่อใช้บังคับกับทั้งหน่วยงานรัฐด้วยกัน หรือใช้กับภาคเอกชนองค์กรต่างๆ ด้วย
ตัวอย่างของ Compliance ของภาครัฐขอเริ่มจากเรื่องมติ ครม.ที่ให้หน่วยงานของรัฐลดการใช้น้ำอย่างน้อยร้อยละ 10 และให้ส่งรายงานต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบทุกเดือน คล้ายๆ กับแผนปฏิบัติการประหยัดไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงของกระทรวงพลังงาน หรือเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่เกี่ยวกับงบประมาณ ก็ต้องมีการทำรายงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณส่งสำนักงบประมาณเป็นรายเดือนและรายไตรมาสด้วย เรื่อยไปถึงการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่เป็นรูปธรรมในระดับโครงการกิจการด้วย การทำและรายงานแผนการจัดซึ้อจัดจ้าง รวมถึงกรณีถ้ามีการปรับเปลี่ยนแผนแล้วส่งไปยังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ฯลฯ
ส่วนที่มาของ Compliance นั้นกรณี Enron ของสหรัฐที่ทำให้ญี่ปุ่นเกิดความตื่นตัวในการรับมือปัญหามาตรฐานเกี่ยวกับการกำกับกิจการที่ดี รวมถึงมีการประเมินติดตามการดำเนินงานซึ่งทำกันมาตั้งแต่ปี 2546 แล้ว
วันนี้ขอคุยกันเฉพาะในส่วนของภาครัฐก่อน เท่าที่ได้พูดคุยกับผู้ปฏิบัติ มีเสียงกระซิบว่าหนักจริงๆ เพราะมีแนวโน้มการเพิ่มของข้อกำหนดต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เขาแจงว่าในส่วนที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ นั้นก็เยอะอยู่แล้ว ก็ยังไม่เป็นไรนัก แต่ในส่วนของการทำและส่งการรายงานนั้น ถือเป็นภาระที่เหนี่ยวรั้งการขับเคลื่อนงานไปข้างหน้ามากพอสมควร เดือนๆ หนึ่งสำหรับหน่วยงานขนาดเล็กขนาดกลางต้องทำรายงานส่งเกี่ยวกับ Compliance ไม่ต่ำกว่า 10 ฉบับ
ผมเข้าใจมุมมองในฐานะภาครัฐที่ต้องกำกับการทำงานให้มีประสิทธิภาพ วัดผลเป็นตัวเลขได้ชัดเจน แต่ก็เห็นใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ที่ต้องเร่งเดินหน้าสร้างงานตามนโยบายหรือภารกิจที่รัฐบาลมอบหมายสั่งการลงมาให้ทันตามกรอบเวลาด้วย ในอีกด้านก็ต้องม้วนตัวกลับมาทำรายงานการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ความจริงก็เลยต้องมีหลุดจาก Dead Line ที่วางไว้อยู่ดี
ส่วนการรายงานมีทั้งแบบหนังสือราชการทั่วไป รายงานไปตามแบบฟอร์มมาตรฐานที่สร้างขึ้น ส่งเป็นกระดาษไปหรือรายงานผ่านไปในระบบอิเล็กทรอนิกส์
วัฒนธรรมใหม่ขององค์การวันนี้ Compliance ได้ยกระดับความสำคัญไปเชื่อมโยงกับหลัก GRC ได้แก่ Good Governance Risk Management และ Compliance Management เดิมงานในส่วนนี้หลายหน่วยงานมอบให้หรือฝากไว้กับฝ่ายกฎหมายขององค์กรเป็นผู้รับผิดชอบไป แต่วันนี้เริ่มมีการตั้งฝ่าย Compliance ขึ้นมาเพื่อดูแลเฉพาะภารกิจนี้เลย
เราเดินมาถึงจุดที่ปัจจุบันองค์กรจำเป็นต้องมีกลไกในการสร้างความมั่นใจให้ได้ว่านโยบายหรือกรอบแนวทางหรือกระบวนการในขั้นปฏิบัติต้องมีความพร้อมสมบูรณ์ ลดจุดอ่อน ข้อบกพร่อง มีการป้องปราม เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงมากจนเกิดความล้มเหลวในการบริหารองค์กร การมี Compliance จะเป็นการสร้างโอกาสความสำเร็จของงาน รวมถึงจำกัดขอบเขตของความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มุมมองของผู้กำกับควรเป็นไปเพื่อการสอบทานก็พอ ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือในเชิงจับผิดมากเกินไป เพราะยังมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้อย่างอิสระ อย่างเข้มงวด จนเกิดการละเลยเพิกเฉยต่อระเบียบข้อบังคับต่างๆ
อีกประเด็น คือ แหล่งที่มาของบรรดากฎเกณฑ์ Compliance มีความหลากหลายมาก ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงที่เราไปดึงมาเพิ่มใส่อีก เพื่อให้เราดูมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น (บางคนบอกว่าเป็นของเล่นของฝรั่งที่สร้างมาใช้กับคนอื่น) เราคงต้องมากลั่นกรองแยกแยะอย่างชัดเจนในทางปฏิบัติว่ากฎเกณฑ์ใดบ้างที่ต้องทำหรือไม่ต้องทำ ด้วยเหตุผลใดหรือเพราะมีการลงโทษ จึงต้องทำ เพื่อไม่ให้เกิดภาระมากจนเกินไป กระทั่งขาดความคล่องตัวหรือยืดหยุ่นในการไปสู่เป้าหมาย ดังนั้น การจัดเรียงลำดับและกำหนดน้ำหนักจึงเป็นประเด็นสำคัญ
สุดท้ายเป็นเรื่องระบบหรือรูปแบบการรายงาน แถมอีกนิดหนึ่งเรื่องความถี่ห่างของการส่งรายงานบ้าง เช่น ทุกเดือนกับทุก 2 เดือน หรือ 3 เดือน ในบางเรื่องไม่น่าจะให้ผลที่ต่างกันมากนัก แต่ถ้าห่างหน่อยจะทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติมีเวลาหายใจมากขึ้น ขอฝากไปถึงผู้ที่ทำหน้าที่ในการกำกับการปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ ก.พ.หรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ก.พ.ร.หรือคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สคร.คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ รวมถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีการประกาศที่ให้มีซูเปอร์บอร์ดขององค์การมหาชนให้ช่วยดูแลด้วย
ท้ายสุดนี้ Compliance แปลได้ความว่า การยอมรับในกฎเกณฑ์หรือกฎเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับ เมื่อยอมรับก็ปฏิบัติตามได้จริง รัฐธรรมนูญก็เป็นกฏหมายสูงสุดในการบริหารปกครองประเทศ เป็นอะไรที่มีความเข้มข้น กว้างขวางมากกว่า Compliance เสียอีก คงต้องรับฟังความคิดเห็นและปรับเปลี่ยนบ้าง อย่างไม่มีอคติ เพื่อให้ยอมรับกันได้ในวงกว้าง ดีกว่าไหมครับ


