ธัมมชโยสะท้าน...สมเด็จช่วงสะเทือน วงการสงฆ์สั่นคลอน
แม้ มส.จะสรุปว่าไม่ดำเนินการใดๆ กับธัมมชโย จะถูกกลุ่มที่ต่อต้านยื่นฟ้องต่อสำนักพุทธหรือ มส. ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดย..เอกชัย จั่นทอง
เรื่องราวความอื้อฉาวของวัดพระธรรมกายถูกวิจารณ์อย่างแพร่หลาย ทั้งการเดินธุดงค์กลางเมืองแสวงบุญ แต่เรื่องใหญ่ที่สุดที่คนทั้งประเทศไม่อาจลืม คือคดีความที่เกิดขึ้นกับ “พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)” ผู้นำทางจิตวิญญาณของวัดแห่งนี้ นั่นคือคดียักยอกทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายไปเป็นสมบัติส่วนตัว
ย้อนไปเมื่อปี 2541 พระอดิศักดิ์ วิริสโก อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย ได้กล่าวหาธัมมชโยว่ายักยอกเงินและที่ดินของญาติโยมที่บริจาคให้กับวัด อีกทั้งยังมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับความเป็นพระ เช่น อวดอุตริและมีความใกล้ชิดสีกา ฯลฯ ต่อมากรมที่ดินได้สำรวจพบว่า ธัมมชโยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและบริษัทที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายกว่า 400 แปลง เนื้อที่กว่า 2,000 ไร่ ใน จ.พิจิตร และเชียงใหม่
มหาเถรสมาคม (มส.) จึงมอบหมายให้ พระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาค 1 (ในสมัยนั้น) ตรวจสอบ ซึ่งได้ข้อสรุปว่าเรื่องดังกล่าวเป็นจริงตามที่ถูกกล่าวหา ทำให้ มส.มีมติให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเจ้าคณะภาค 1 คือ ให้ปรับปรุงคำสอนของวัดพระธรรมกายว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา และยุติการเรี่ยไรเงินนอกวัด และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้มีพระลิขิตให้คืนที่ดินและทรัพย์สินขณะเป็นพระให้วัดพระธรรมกาย แต่ธัมมชโยไม่ยอม กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษในคดีอาญา ฐานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จนมีการต่อสู้ทางคดีความเกือบ 7 ปี ตั้งแต่ปี 2542-2547
ที่สุดคดีธัมมชโยกลับพลิก เมื่ออัยการสูงสุด (อสส.) มีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นช่วงสมัยที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
ถัดมาในปี 2558 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปัดฝุ่นแฟ้มคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่รับไว้ตั้งแต่ปี 2556 ดีเอสไอได้เข้าจับกุมยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่ายของ ศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตฯ กว่า 3,000 ล้านบาท มีผู้เสียหายในคดีนี้ 5.6 หมื่นราย แต่ก็ค่อยๆ เงียบหายไป
จากนั้นชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้นำคดียักยอกทรัพย์ความเสียหายกว่า 27 ล้านบาท เข้าร้องทุกข์ต่อ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม จนเกิดแรงกระเพื่อมทางคดีอีกครั้ง
ดีเอสไอในฐานะเจ้าของคดี จึงสอบสวนในเชิงลึกลงไปที่เช็ค 878 ฉบับ จนทราบเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ยักยอกทรัพย์ และเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มการเมืองและวัดพระธรรมกาย ปฏิบัติการแกะรอยเงินสหกรณ์ฯ คืนจึงได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อดีเอสไอเข้าค้นบริษัทของสถาพร วัฒนาศิรินุกุล อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย ที่มีชื่อรับเช็คสั่งจ่ายจาก ศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ บริษัทมีที่ตั้งไม่ห่างจากวัดพระธรรมกาย จนนำไปสู่การออกหมายเรียกพระลูกวัดพระธรรมกายและธัมมชโย เข้าให้ปากคำเพื่อชี้แจงการรับเช็คบริจาค
ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุชัดเจนว่า จะดำเนินคดีฟอกเงินกับศุภชัย อดีตประธานสหกรณ์ฯ ที่ขณะนั้นอยู่ในเรือนจำ กับผู้ที่มีชื่อรับเช็ค 878 ฉบับ ซึ่งก่อนหน้านี้ดีเอสไอแยกการสอบสวนออกเป็น 7 กลุ่มประกอบด้วย
1.นิติบุคคลที่มีมูลหนี้ต่อกัน 2.วัดพระธรรมกาย 3.สหกรณ์อื่นๆ 4.ผู้ต้องหาและผู้ที่เข้าข่าย 5.บุคคลธรรมดา 6.นายหน้าค้าที่ดินและ 7.นิติบุคคลที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกันซึ่งทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีข้อหารับของโจรและฟอกเงิน
โดยเฉพาะในส่วนของวัดพระธรรมกาย พบว่า มีการรับบริจาคโดยไม่มีมูลหนี้รวมกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งการบริจาคให้วัดเข้าบัญชีธัมมชโยและเข้าบัญชีพระรูปอื่นในเครือข่ายวัดพระธรรมกาย ส่วนการดำเนินคดีฟอกเงินหากพบว่ามีทรัพย์สินที่ได้จากการยักยอกสหกรณ์หลงเหลืออยู่กับบุคคลใด พนักงานสอบสวนจะยึดอายัดทันที โดยคดีฟอกเงินคาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นานสามารถดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องได้
นอกจากนี้ ธัมมชโยยังมีคดีความที่ต้อง “สะท้านวงการสงฆ์” คือกรณีการฝืนพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ระบุชัดเจนว่า ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระ จากคดียักยอกเงินและที่ดินตามพระลิขิต แต่เรื่องกับถูกดึงเวลาล่วงเลยมานาน จนที่สุดดีเอสไอได้ส่งหนังสือถึงสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และมหาเถรสมาคม (มส.) ดีเอสไอยืนยันว่าพระลิขิตมีผลตามกฎหมาย
เรื่องนี้สังคมกำลังจับตามองว่าท้ายที่สุด มส. ที่นำโดย สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ธัมมชโย และสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ จะกล้าจัดการกับปัญหานี้หรือไม่
และแม้ว่า มส.จะสรุปว่าไม่ดำเนินการใดๆ กับธัมมชโย ก็จะถูกกลุ่มที่ต่อต้านวัดพระธรรมกายยื่นฟ้องต่อสำนักพุทธหรือ มส. ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 157 เป็นคดีไม่จบสิ้น
ขณะเดียวกันยังเกิดวิบากกรรมกับ “สมเด็จช่วง” พระอุปัชฌาย์ธัมมชโย และยังเป็นถึงรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ที่มีมลทินทางคดีเข้ามาพัวพันไม่ต่างจากธัมมชโยในคดีครอบครองรถหรูโบราณ ทะเบียน ขม 99
คดีนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างการสอบข้อเท็จจริงถึงที่มาที่ไปของรถคันดังกล่าวว่าผิดกฎหมายหรือไม่ นั่นยังส่งผลให้การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 หยุดชะงัก เพราะนายกรัฐมนตรี ระบุชัดว่า หากยังมีปัญหาและความขัดแย้งก็จะยังไม่มีการแต่งตั้งใดๆ เพราะผู้ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำสงฆ์ต้องไร้มลทินทุกประการ
เรื่องราวทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกันระหว่างธัมมชโยและสมเด็จช่วง สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ และมหาเถรสมาคมต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะคงไว้ซึ่งศาสนาที่ถูกต้องตามประเพณี ขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับวงการสงฆ์ ก่อนที่จะลุกลามขยายหนักหน่วงกว่านี้


